แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ฎีกาเรื่อง อำนาจฟ้องว่า ผู้ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าซื้อมีอำนาจลงนาม ผูกพันโจทก์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ทุนทรัพย์คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดให้โจทก์ โจทก์เห็นว่า ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อ นายปัญญา นิลสินธพ เป็นกรรมการบริษัทโจทก์อยู่ ถือได้ว่าโจทก์เป็นคู่สัญญาเช่าซื้อกับจำเลยที่ 1 ฎีกาของโจทก์ในเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมาย อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่า จำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 158,071 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5 ต่อปี ของต้นเงิน 60,000 บาท นับแต่วันผิดนัด (14 กรกฎาคม 2534) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 78) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 79)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า กรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนโจทก์ในสัญญาเช่าซื้อมีเพียงนายโกวิทจีระธันห์ส่วนนายปัญญานิลสินธพ ซึ่งลงลายมือชื่อไว้ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนโจทก์ แต่ ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงตอนหนึ่งด้วยว่าโจทก์ได้ยอมรับ ถือเอาประโยชน์ตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวโดยอุทธรณ์ของ จำเลยที่ 1 หาได้โต้เถียงความตอนหลังนี้ไม่ เพียงแต่โต้เถียง ว่าแม้โจทก์ยอมรับถือเอาประโยชน์ดังกล่าวก็ผูกพันเฉพาะโจทก์ กับนายปัญญาหาบังคับเอากับจำเลยที่ 1 ได้ไม่ ดังนี้ฎีกาของโจทก์เฉพาะข้อความว่า แม้ตามสัญญาเช่าซื้อจะไม่ปรากฏ ว่านายปัญญาเป็นกรรมการบริษัทโจทก์ แต่โจทก์ได้ยอมรับเข้าถือเอาประโยชน์ตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์เป็นคู่สัญญาเช่าซื้อกับจำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจฟ้องบังคับ ให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อนั้น เป็นฎีกาในข้อกฎหมายไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณา ส่งสำเนาให้จำเลยทั้งสองแก้