คำสั่งคำร้องที่ 320/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐานถือได้ว่าเป็นฎีกาโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218ไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาจากข้อเท็จจริงนอกสำนวนศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยปัญหาที่จำเลยได้อุทธรณ์ตลอดจนกำหนดภาระหน้าที่นำสืบไม่ถูกต้องอันเป็นการไม่ชอบด้วย วิธีพิจารณาอาญา โปรดมีคำสั่งรับฎีกาจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89 จำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและนำสืบรับในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 2 ปี6 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 84)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่ก็ดีการที่ศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานที่เกิดจากการข่มขู่บังคับว่าเป็นเอกสารที่เกิดจากความสมัครใจของจำเลยเป็นการไม่ชอบ และศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงครบถ้วนก็ดี ล้วนแต่เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง

Share