คำสั่งคำร้องที่ 313/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยทั้งสอง เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองทุกข้อเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายหาใช่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่อย่างใดไม่โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย เฉพาะจำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยที่โจทก์ได้รับจากบริษัทประกันภัยแก่จำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้แก่ โจทก์จำนวน 86,402 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 65)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 67)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อ 2.1 ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ส่วนฎีกาข้อ 1.4 ที่อ้างเป็นข้อกฎหมายว่าศาลพิพากษาเกินคำขอก็เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดุลพินิจของศาลเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับฎีกาข้ออื่น ๆก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง

Share