คำสั่งคำร้องที่ 3016/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาข้อ 2.1 ที่ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เป็นปัญหา ซึ่งยุติในชั้นอุทธรณ์แล้ว และฎีกาข้อ 2.3 ที่ว่า เช็คตามฟ้องไม่ได้สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้แต่เป็นการออกเพื่อค้ำประกันหนี้จึงไม่มีความผิด เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกาข้อ 2.1 และ 2.3 คงรับฎีกาเฉพาะข้อ 2.2
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.1 ได้อ้างว่าเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะคดีโจทก์ขาดอายุความต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาคดีใหม่ ดังนี้จำเลยทั้งสองยังไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาอายุความดังกล่าว ครั้นศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองและศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ตามลำดับแล้วจำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาเช่นนั้นได้ ปัญหาดังกล่าวยังไม่ยุติ อีกทั้งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนด้วยจำเลยจึงมีสิทธิฎีกาในปัญหานี้ได้ส่วนฎีกาข้อ 2.3 ที่ว่า เช็คตามฟ้องเป็นเช็คชำระหนี้หรือค้ำประกันเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดรับฎีกาข้อ 2.1 และ 2.3 ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ มีผู้ลงชื่อรับสำเนาคำร้องไว้ที่ตัวคำร้อง(อันดับ 177)
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมตามคำร้องขอ
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ร่วมไม่ได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดคดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3(1) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83เป็นความผิด 4 กระทง เรียงกระทงลงโทษ ปรับจำเลยที่ 1กระทงละ 10,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 1 ปีรวมปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 40,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 4 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 สองกรรมแรก จำคุกกรรมละ 8 เดือน สองกรรมหลังจำคุกกรรมละ 6 เดือน รวมจำคุก 28 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาข้อ 2.1 และ 2.3ดังกล่าว (อันดับ 175)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 177)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ตามฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 นั้น ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัย ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 23 พฤษภาคม 2533 ว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ หากจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัย ดังกล่าวก็ชอบที่จะฎีกาคัดค้านในชั้นนั้นแต่ปรากฏว่าจำเลย มิได้ฎีกา ปัญหา ข้อนี้จึงยุติแล้ว จำเลยจะยกขึ้นมาฎีกา ในชั้นนี้อีกไม่ได้
ส่วนปัญหาตามฎีกาข้อ 2.3 ของจำเลยที่ว่า เช็คพิพาทออกให้เพื่อชำระหนี้หรือเพื่อค้ำประกันหนี้นั้น ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาทชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยที่ 2 นำไปขายไว้แก่โจทก์ร่วม เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ จำเลยฎีกาว่า หากจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ก็น่าจะออกเพียงฉบับเดียว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องสั่งจ่ายเช็คถึง 4 ฉบับ และการที่เช็คพิพาททั้ง4 ฉบับ มีจำนวนเงินรวมกันเท่ากับจำนวนตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน เอกสารหมาย จ.ร.1ถึงจ.ร.4 แสดงว่าออกเพื่อค้ำประกัน เพราะถ้าออกเพื่อชำระหนี้ จำนวนเงินตามเช็คพิพาทต้องสูงกว่า จำนวนเงินตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน เพราะมีดอกเบี้ย เกิดขึ้น เห็นได้ว่าฎีกาของจำเลยข้อนี้เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐาน อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา
ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 และ 2.3 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share