แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองข้อหาร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจรจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพข้อหาลักทรัพย์ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนให้ลงโทษข้อหาร่วมกันลักทรัพย์จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบพยานให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์ศาลชอบที่จะยกประโยชน์ให้จำเลยทั้งสอง ลงโทษสถานเบาข้อหาร่วมกันรับของโจร เป็นการฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ให้การรับสารภาพ ทั้งเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาจึงไม่ชอบ
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, (1)(3)(4)(7) วรรคสาม ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 ที่ 2 อายุ 17 ปีเศษ และ 16 ปีเศษตามลำดับ ลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่ง จำคุกคนละ1 ปี 6 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จำคุกคนละ 9 เดือน ฯลฯ ส่วนข้อหารับของโจรให้ยก
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสอง จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองมิใช่เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาล แต่เป็นเรื่องโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าจำเลยกระทำความผิด แม้จำเลยรับสารภาพก็ต้องยกประโยชน์ให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 ขอให้รับฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองข้อหาร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพข้อหาลักทรัพย์ ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนให้ลงโทษทั้งสองข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพแต่โจทก์ไม่ได้นำสืบพยานให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์ศาลชอบที่จะยกประโยชน์ให้จำเลยทั้งสองลงโทษสถานเบาข้อหาร่วมกันรับของโจร เป็นการฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพทั้งเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา ซึ่งมิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง”