แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ยังมิได้หยิบยกข้อเท็จจริงจากคำพยานโจทก์ คือ นายวีระศักดิ์เชียงทองและนายประสงค์จันทร์เพ็งขึ้นมาวินิจฉัย ซึ่งหากได้หยิบยกข้อเท็จจริงนี้ขึ้นมาวินิจฉัยแล้วจะทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 118) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,157 อันเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลย 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 เพียงบทเดียว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกาศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 117) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 118)
คำสั่ง พิเคราะห์คำฟ้องฎีกาของจำเลยแล้ว จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่มีเจตนาเบียดบังเอาทรัพย์ตามฟ้องไปโดยทุจริตฎีกาดังกล่าวเป็นการโต้เถียงว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิดนั่นเอง ปัญหาว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดหรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง