แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยฎีกา ดุลพินิจการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง และคดีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 219 ประกอบพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาคดีอาญาในศาลแขวง มาตรา 4 ไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3ไม่ได้ปฏิบัติและวินิจฉัยคดีตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอาญามาตรา 56 เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ลงโทษจำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 82) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 85)
คำสั่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเฉพาะโทษโดยลงโทษจำคุกจำเลย6 เดือน เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี คู่ความจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ฎีกาของจำเลยซึ่งขอให้ลงโทษจำเลย ในสถานเบาและรอการลงโทษเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาล ในการกำหนดโทษ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่รับฎีกาของจำเลยนั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง