แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกาและยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่า เป็นกรณีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีนี้เนื่องจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ และสั่งคำร้องขอเพิ่มเติมฎีกาว่าเนื่องจากศาลไม่รับฎีกาของโจทก์ จึงไม่รับคำร้องเพิ่มเติมฎีกา
โจทก์เห็นว่า โจทก์ได้ฎีกาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์และตามคำเบิกความนำสืบของโจทก์อย่างละเอียดว่า เอกสารหมาย จ.5 ซึ่งเป็นคำเบิกความของจำเลยนั้นเป็นคำเบิกความเท็จทั้งสิ้นและฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้องเพราะไม่วินิจฉัยให้ครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142ตลอดจนศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคำว่า “เท็จ” ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 ไม่ถูกต้อง ซึ่งปัญหาข้อกฎหมายนี้เป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาและคำร้องขอเพิ่มเติมฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา และยื่นคำร้องเพิ่มเติมฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาและไม่รับคำร้องดังกล่าว (อันดับ 42,43)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 44)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่แก้ไขใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับชอบแล้ว ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งฎีกาโจทก์