คำสั่งคำร้องที่ 267/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฯลฯ เป็นคดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่าฎีกาของจำเลยแผ่นที่ 3 ด้านหน้า ตั้งแต่บรรทัดที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย สำหรับฎีกาข้ออื่น ๆล้วนแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในแผ่นที่ 3 ด้านหน้าตั้งแต่บรรทัดที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งสิทธิของจำเลยตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้นทำให้การสอบสวนจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และฎีกาข้ออื่น ๆ ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังเอกสารหมาย จ.2 เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายและวินิจฉัยคำพยานหลักฐานคลาดเคลื่อนโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 33 แผ่นที่ 2)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2526 มาตรา 15,67 และ 102 จำคุก2 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ฯลฯ
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 32 แผ่นที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 33 แผ่นที่ 2)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาว่า เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับจำเลยมิได้แจ้งให้จำเลยทราบถึงสิทธิของจำเลยที่จะพบและปรึกษา ผู้ที่จะเป็นทนายสองต่อสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 7 ทวิ (1)การสอบสวนจึงไม่ชอบนั้น เป็นข้อกฎหมายที่จำเลย มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ไม่เห็นสมควรที่จะวินิจฉัย และที่จำเลยฎีกาว่าคำรับสารภาพของจำเลย ในชั้นจับกุมเกิดจากการขู่เข็ญบังคับของเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับเป็นการไม่ชอบ และว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน้อย ไม่น่ารับฟัง ศาลล่างทั้งสองรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์คลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงนั้นล้วนแต่เป็นการโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share