แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงให้ผิดแผกไปจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับฟัง แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะอ้างข้อกฎหมายประกอบเข้ามาด้วย แต่การที่จะปรับข้อกฎหมายให้มีผล ให้เป็นไปตามที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ประสงค์ ก็จะต้องฟัง ข้อเท็จจริงใหม่ตามที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา เสียก่อน ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยตั้งทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงส่วนฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในข้อที่เกี่ยวกับอายุความ ฟ้องถอนพินัยกรรม จำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็มิได้ให้การต่อสู้ไว้ ทั้งไม่ได้เป็นข้อที่ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงต้องห้ามฎีกาเช่นเดียวกัน จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาทุกข้อของจำเลยที่ 1 ที่ 2 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 จำเลยที่ 1 และที่ 2 เห็นว่า ฎีกาในประเด็นที่ว่าพินัยกรรมที่เจ้ามรดกทั้งสองได้ทำไว้ก่อนถึงแก่ความตายจะชอบด้วยกฎหมายและผูกพันโจทก์หรือจำเลยเพียงใด ย่อมที่จะและว่า การทำพินัยกรรมดังกล่าวเป็นการจัดการสินสมรสที่ชอบด้วย กฎหมายหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง ระหว่างพิจารณาโจทก์ถึงแก่กรรม นางจำเริญ สุขสัมผัสผู้จัดการมรดกของโจทก์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 4837 ตำบล ลาดน้ำเค็มอำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของในฐานะเป็นสินสมรส 1 ใน 4 ที่ดินตามแบบ แจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) เลขที่ 2 หมู่ 4 ตำบลบ้านแคอำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และที่ดินโฉนดเลขที่ 5451 ตำบลบ้านแคอำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายชื้น สุขสัมผัส โจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของในฐานะเป็นสินสมรสกึ่งหนึ่ง พินัยกรรมเอกสาร ฝ่ายเมืองฉบับลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2527 ไม่มีผลผูกพัน และบังคับถึงที่ดินส่วนที่เป็นสินสมรสของโจทก์ ดังกล่าวข้างต้น ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ ดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 4837 ตำบลลาดน้ำเค็มอำเภอผักไห่ จังหวัด พระนครศรีอยุธยาโจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของในฐานะเป็นสินสมรส กึ่งหนึ่ง ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดิน ของโจทก์ทั้งสามแปลงดังกล่าว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 79) จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 81)
คำสั่ง พิเคราะห์ตามคำฟ้องและคำให้การแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีฟ้องขอแบ่งสินสมรสจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิ ในครอบครัว ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองในส่วนนี้จึง ไม่ชอบ ส่วนฎีกาของจำเลยข้อ 4 เรื่องอายุความ เป็นข้อที่ จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ รวมทั้งเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง ในข้อ 4 จึงชอบแล้วให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อ 3,5,6, และ 7 ให้ศาลชั้นต้น ดำเนินการต่อไป