แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง จึงไม่รับฎีกาโจทก์เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าที่ดินเป็นของโจทก์ จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จึงเป็นคำให้การที่จำเลยกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ โจทก์จึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ และฎีกาของโจทก์ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยมิได้มีสิทธิใดในที่พิพาทดีกว่าโจทก์ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ จำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 223)โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 29,162 บาทและในอัตราปีละ 50,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบที่ดินคืน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 213)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 219)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์แม้โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ แต่จำเลยกล่าวแก้ว่าที่พิพาทมิใช่ของโจทก์เป็นที่รกร้างว่างเปล่า จำเลยครอบครองเกิน 1 ปี โจทก์หมดสิทธิครอบครอง ถือได้ว่าจำเลยกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ โจทก์ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง จึงรับฎีกาโจทก์ และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป