แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล ซึ่งเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จึงไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์นำสืบสมตามฟ้อง หรือไม่ และคำเบิกความของพยานโจทก์ที่นำมาสืบจะรับฟังได้ เพียงใด และคำรับสารภาพของจำเลยชั้นจับกุมสอบสวน ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานในสำนวนว่าโจทก์ ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62,89,106 เป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานขายแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 81) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 83 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยล้วนเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลทั้งสิ้น จึงเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง