แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาคำสั่งและฎีกาคำสั่งอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นสั่งว่าฎีกาของจำเลยทั้งสองต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย ไม่รับฎีกาจำเลยที่ 1 ที่ 2 เห็นว่า ฎีกาคำสั่งของจำเลยทั้งสองไม่ต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว เพราะคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ถือว่าถึงที่สุดนั้น หมายถึงเป็นการขอฟ้องหรือต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา แต่สำหรับกรณีของจำเลยทั้งสองเป็นการฟ้องหรือต่อสู้คดีในศาลชั้นต้น ซึ่งเมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยทั้งสองมีสิทธิฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ได้ โปรดอนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาคำสั่งได้ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 190 แผ่นที่ 3)
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้เงินจำนวน 322,000 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองส่งมอบเรือยนต์ลำพิพาทเรียบร้อยแก่โจทก์ ฯลฯ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เรือยนต์ลำพิพาทให้จำเลยทั้งสอง ฯลฯต่อมาระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ที่ 2ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในส่วนฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง (อันดับ 41,162)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์(อันดับ 165,166)
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้อง ฯลฯ (อันดับ 176)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 179)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 184)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า กรณีที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยทั้งสองได้อุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยต่อสู้คดีอย่างคนอนาถาและยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสอง คำสั่งของศาลอุทธรณ์เช่นว่านี้เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย และคดีนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาคำสั่งของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง