แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ส่วนฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้นเป็นข้อที่ไม่ได้ ว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้คำพิพากษาของ ศาลชั้นต้นเป็นการแก้ไขมาก เป็นกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยก็มีสิทธิฎีกาได้ โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 43) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48 วรรคหนึ่ง,73 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขแล้ว ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน พิเคราะห์พฤติการณ์ตามรายงานการสืบเสาะ และพินิจแล้ว ไม่มีเหตุรอการลงโทษ ริบไม้ของกลาง คำขออื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่าลงโทษจำคุก 9 เดือนลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก4 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 41) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 43)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลย มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48 วรรคหนึ่ง, 73 วรรคหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุก 9 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 4 เดือน 15 วัน ตามบทกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นวางมาดังนี้เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะการสอบสวนมิชอบ เนื่องจากพนักงานสอบสวนผู้ทำการสอบสวน มิใช่พนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจ คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติ จำเลยจะฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง เป็นอย่างอื่นมิได้ ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลย ย่อมไม่เกิดขึ้น ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงชอบแล้ว ส่วนฎีกาที่ว่า ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำของ จำเลยที่อ้างว่าได้กระทำความผิดทั้งข้อเท็จจริง รายละเอียด เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำผิดให้ครบถ้วน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 ว่า เวลากลางวันเป็นเวลาช่วงใดหรือกี่นาฬิกา เจ้าพนักงานเป็น เจ้าหน้าที่หน่วยงานใด มีอำนาจมากน้อยเพียงใดและ ไม่ได้เจาะจงว่าจำเลยกระทำผิด ณ สถานที่ใด นั้น คดีนี้ โจทก์ฟ้องบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้ กระทำผิดว่า เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2537 เวลากลางวัน จำเลยมีไม้ประดู่แปรรูป จำนวน 36 แผ่น ปริมาตร 1.59 ลูกบาศก์เมตร อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกา ลำดับที่ 87 ไว้ในครอบครอง ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก พนักงานเจ้าหน้าที่ เหตุเกิดที่ ตำบลนครไทย อำเภอนครไทยจังหวัดพิษณุโลก และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ไม่มีสาระว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) อย่างไรบ้างที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในข้อนี้ด้วยนั้น ศาลฎีกา เห็นพ้องด้วยในผล ยกคำร้อง