แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อ 2 เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218จึงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าขณะเกิดเหตุโจทก์ครอบครองที่พิพาท แม้ที่พิพาทจะเป็นของจำเลยที่ 1โจทก์ก็ครอบครองปรปักษ์มาเกิน 1 ปี เมื่อจำเลยกับพวกเข้ามารบกวนการครอบครองโดยปกติสุขของโจทก์ จำเลยกับพวกจะมีความผิดฐานบุกรุกหรือไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ทนายจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 32)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362,363,365,358,359,309,83,84,90 และ 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูล
พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 31)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 32)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า ที่พิพาทมิใช่ของโจทก์ โจทก์มิได้ครอบครองที่พิพาท จำเลยไม่มีความผิดทุกข้อหา เป็นการยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ครอบครองที่พิพาท การกระทำของจำเลยเป็นความผิด เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง