แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วนสำหรับจำเลยที่ 1 นั้นได้ความว่าถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องคดีล้มละลาย และศาลแพ่งมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยที่ 1 แล้ว เมื่อวันที่11 พฤศจิกายน 2528 ฉะนั้น อำนาจจัดกิจการและจำหน่ายทรัพย์สินตลอดจนการฟ้องร้องต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1จึงตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 22 และ 24แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำแถลงลงวันที่16 มิถุนายน 2531 ว่าไม่ประสงค์จะฎีกาในส่วนของจำเลยที่ 1 ต่อไปคดีสำหรับจำเลยที่ 1 จึงไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะฎีกาให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 เห็นว่า อำนาจฟ้องร้องต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ยังเป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 อยู่ ไม่ใช่เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพราะคดีที่จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องให้ล้มละลายยังไม่ถึงที่สุด และคดีนี้โจทก์ก็ได้ฟ้องก่อนที่จำเลยที่ 1 จะถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด นอกจากนี้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ก็มีเหตุผลที่จะชนะคดีโจทก์ได้อย่างแน่นอน และเนื่องจากจำเลยที่ 1 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงไม่มีเงินเสียค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาได้ โปรดอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ฎีกาอย่างคนอนาถาต่อไปด้วย
หมายเหตุ ทนายโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 48แผ่นที่ 2)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 57,073,626.36 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี จากต้นเงิน 54,751,560.36 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ สำหรับจำเลยที่ 4 ให้ชำระหนี้แก่โจทก์ในวงเงินจำนวน 1,000,000 บาท ในจำนวนหนี้ทั้งหมดของจำเลยที่ 1 พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี ในวงเงินดังกล่าวนับแต่วันจำนองจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น ฯลฯ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วน สำหรับจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องดังกล่าว (อันดับ 216,213,15)
ทนายจำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 19)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีสำหรับจำเลยที่ 1 มีเหตุผลอันสมควรที่จะฎีกาจึงให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องขออนาถาของจำเลยที่ 1 แล้วมีคำสั่งและสั่งฎีกาของจำเลยที่ 1 ต่อไป เสร็จแล้วให้รีบส่งสำนวนคืนศาลฎีกาโดยเร็ว