แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกาของโจทก์โจทก์เห็นว่า เมื่อโจทก์ยังไม่ทราบคำสั่งหรือมติของคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล (คชก.ตำบล) โดยชอบในขณะที่โจทก์ยังเช่าและครอบครองทำประโยชน์ในนาพิพาทอยู่ จำเลยทั้งสองได้บังอาจเข้าไปไถนาพิพาทและต้นถั่วของโจทก์ทิ้งได้รับความเสียหายเช่นนี้จะถือว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาที่ไม่สุจริตกระทำความผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่เพียงใด และเมื่อโจทก์ไม่ได้รับทราบมติหรือคำสั่งดังกล่าวโดยชอบโจทก์จะมีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในนาพิพาทอยู่ต่อไปหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายและเป็นสาระสำคัญอันควรสู่ศาลฎีกาเป็นอย่างยิ่ง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 76แผ่นที่ 2, ที่ 3)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362,365(2),358,359(4) ประกอบมาตรา 83,90)
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 72)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 74)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532มาตรา 13 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในคดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์” บทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติที่ห้ามมิให้คู่ความฎีกาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายดังนั้นที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง