แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งว่า รับเป็นอุทธรณ์ของจำเลยเฉพาะ ข้อ 2.2 และ ข้อ 3 เท่านั้น ส่วนข้อ 2.1 เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 จึงไม่รับจำเลยเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลแรงงานกลางไม่นำพยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบแล้วมาวินิจฉัย จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ขัดต่อกฎหมายแรงงานโปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ทนายโจทก์ทั้งห้าได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 63)
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ที่ 1เป็นเงิน 23,092 บาท โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 30,448 บาท โจทก์ที่ 3เป็นเงิน 42,980 บาท โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 42,980 บาท และโจทก์ที่ 5เป็นเงิน 16,065.20 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากยอดเงินแต่ละจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง(16 กุมภาพันธ์ 2532)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ ส่วนคำขออย่างอื่นของโจทก์ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์บางข้อดังกล่าว(อันดับ 52)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 56)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ข้อ 2.1 ของจำเลยได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลแรงงานกลางที่ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ทุกคนตามบัญชีเอกสารท้ายฟ้องโดยจำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทุกคนสมัครใจให้จำเลยหักเงินบริจาคให้แก่โรงเรียนของจำเลยเพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียน จำเลยไม่ได้ค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ จึงเป็นอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ชอบแล้วให้ยกคำร้อง