คำสั่งคำร้องที่ 2291/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา หากให้มีการบังคับคดีในระหว่างนี้จำเลยที่ 1 จะได้รับความเสียหายอย่างยิ่ง และโจทก์ได้อายัดที่ดินแปลงที่พิพาทไว้ตั้งแต่ก่อนฟ้องคดีแล้ว โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ ทนายโจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 179)
คดีสืบเนื่องจากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินแก่โจทก์หากไม่อาจโอนที่ดินได้ให้คืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอ้างว่าไม่สามารถปฏิบัติตามคำบังคับของศาลได้ เพราะในการประเมินของกรมที่ดินเพื่อเรียกเก็บภาษีค่าธรรมเนียม ค่าอากรในการโอนที่ดินนั้น เจ้าพนักงานที่ดินประเมินราคาเฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 415 เป็นเงิน 17,904,000 บาทซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องเสียค่าธรรมเนียม ค่าอากร ค่าภาษีเงินได้หัก ณที่จ่าย รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 2,407,600 บาท ซึ่งศาลบังคับตามสัญญาจะซื้อจะขายให้จำเลยที่ 1 ได้รับเงินเพียง 1,525,925 บาทเท่ากับจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับราคาซื้อขายที่ดินและจำเลยที่ 1 จะต้องหาเงินมาชำระค่าธรรมเนียมอีก 1,000,000 บาทเศษ จากการขายที่ดินแปลงนี้ จึงไม่ยุติธรรม ส่วนราคาซื้อขายที่ดินตามท้องตลาดในปัจจุบันมีราคาไร่ละ 500,000-1,000,000 บาท และในปี พ.ศ. 2526-2527นั้น ราคาซื้อขายไร่ละ 60,000-100,000 บาท อีกทั้งในปัจจุบันที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ในโครงการตัดถนนของกรุงเทพมหานครเมื่อถนนเสร็จแล้วที่ดินแปลงนี้จะมีราคาไร่ละ 5,000,000-6,000,000บาท อย่างแน่นอน จำเลยที่ 1 จึงขอคืนเงินมัดจำจำนวน 400,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า การโอนที่ดินยังอาจปฏิบัติได้ จำเลยที่ 1จะขอคืนเงินมัดจำให้โจทก์ โดยโจทก์มิได้ยินยอมหาได้ไม่ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 176,175)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกาแต่ห้ามจำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินที่พิพาท ให้ศาลชั้นต้นแจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทราบ

Share