แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้เป็นคดี มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของผู้ร้องทั้งสองข้อเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่แก้ไขแล้วจึงไม่รับฎีกา
ผู้ร้องเห็นว่า ฎีกาของผู้ร้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวเนื่องกับข้อเท็จจริงซึ่งควรได้รับการพิจารณาของศาลสูงโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ร้องไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องหรือไม่
กรณีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทนแต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงาน บังคับคดียึดที่ดินเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 70)
ผู้ร้องยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นสั่งว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องเกินกำหนด 10 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงให้ส่งสำนวนไปศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 73)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534มาตรา 17 เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1ไม่ได้ขายที่พิพาทให้แก่ผู้ร้อง จำเลยที่ 1 ยังคงครอบครองที่พิพาทการที่ผู้ร้องฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ได้ขายที่พิพาทให้แก่ผู้ร้อง จำเลยที่ 1 ได้มอบการครอบครองที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องแล้วจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของผู้ร้องชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง