คำสั่งคำร้องที่ 2138/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังข้อเท็จจริงตรงกันว่า จำเลยเข้าปลูก ยางพาราในที่ดินพิพาทเมื่อเดือนตุลาคม 2533 จำเลยฎีกาโต้แย้ง ว่าจำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่กลางปี 2533ซึ่งเป็น เวลาก่อนเดือนตุลาคม 2533 หลายเดือน จึงเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยกล่าวอ้างคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันเพียง 100,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ไม่รับฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ได้ฟ้องเอาคืน ซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเกินกำหนดเวลา 1 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 แล้วหรือไม่เป็นฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมายและเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารรื้อถอนต้นยางพารา และขนนำออกไปจากที่ดินพิพาทหนังสือรับรอง การทำประโยชน์เลขที่ 689 และ 735/689 ตำบลควนขนุนอำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง และทำที่ดินพิพาทให้เป็นไปตามสภาพเดิมให้จำเลยชำระเงินเดือนละ 500 บาท นับแต่เดือนตุลาคม 2533 จนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนต้นยางพารา ออกไปจาก ที่ดินพิพาทแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 80)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 84)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเข้าปลูกยางพาราในที่ดินพิพาทเมื่อเดือนตุลาคม 2533จำเลยฎีกาโต้เถียงจะให้ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยเข้าครอบครอง ที่ดินพิพาทตั้งแต่กลางปี 2533 เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจ ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองหรือไม่ จึงเป็นปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยนั้น ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share