แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้นสมควรที่จะได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 152,685 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 150,800 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 184)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 188)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 และขับรถยนต์ไปบรรทุกลำใยในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2จึงต้อง ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ฎีกาของจำเลยที่ 2เป็นฎีกา โต้เถียงดุลยพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล อันเป็นปัญหา ข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง