แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยลักทรัพย์โดยมีเจตนาทุจริต นับเป็นการวินิจฉัย ผิดจากท้องสำนวน ไม่เข้าองค์ประกอบแห่งความผิดเป็นฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมาย และที่ฎีกาว่าโจทก์นำสืบถึงม้วนวีดีโอเทปพิพาทเป็นการอ้างพยานวัตถุขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 242 จึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานได้ แต่การที่ศาลอุทธรณ์ มิได้วินิจฉัยถึงจึงเป็นการขัดต่อกฎหมาย ฎีกาข้อนี้ของจำเลย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเช่นกัน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยด้วย
หมายเหตุ มีการลงชื่อรับสำเนาคำร้องไว้ที่ข้างคำร้องแล้ว แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเป็นลายมือชื่อของโจทก์หรือโจทก์ร่วม (อันดับ 40)
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(11) จำคุก 3 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 39)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 40)
คำสั่ง
ที่จำเลยฎีกาอ้างว่าเป็นข้อกฎหมายและอ้างว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในสำนวนก็ดี รวมทั้งการที่ จำเลยฎีกาว่าโจทก์นำสืบพยานวัตถุขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 242 ก็ดี เป็นเรื่องที่จำเลยบิดเบือนข้อเท็จจริง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเพื่อให้เป็นข้อกฎหมาย ฎีกาของจำเลย จึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง