แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า คดีนี้ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาและส่งไปให้ศาลชั้นต้นนัดคู่ความฟังแล้ว แต่เนื่องจากจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้รับสำเนาฎีกาของโจทก์ ทั้งที่หลังจากศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 2 ฟังแล้ว จำเลยที่ 2 ก็ยังคงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเป็นเวลาถึง 4 เดือนเศษก่อนที่จะถูกย้ายไปคุมขังยังที่แห่งอื่นฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและยื่นเมื่อพ้นกำหนดแล้ว เพื่อเปิดโอกาสให้จำเลยได้แก้ฎีกาโจทก์ ขอศาลได้โปรดพิจารณายกฎีกาโจทก์เสียและพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265,266,268 และ 341 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 และ 341 การที่จำเลยทั้งสองปลอมและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมก็เพื่อให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินคือเงินของผู้ถูกหลอกลวง เป็นการกระทำอันเป็นส่วนหนึ่งในกรรมที่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 ซึ่งเป็นบทหนักแต่กระทงเดียวให้จำคุกคนละ 4 ปีจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพหลังจากสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้วเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน ริบของกลาง เว้นแต่โฉนดหมาย จ.1ให้คืนแก่เจ้าของ คำขอนอกจากนี้ ให้ยกเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266(1),268 วรรคสอง และ 341 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยทนายจำเลยที่ 2 ได้รับสำเนาฎีกาแล้ว(อันดับ 115,118 แผ่นที่ 2)
ศาลฎีกาทำคำพิพากษาเสร็จและส่งไปให้ศาลชั้นต้นนัดคู่ความฟังแล้ว
ก่อนถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 130)
คำสั่ง
คำร้องของจำเลยที่ 2 พอจับใจความได้ว่า ขอให้ยกฎีกาของโจทก์เพราะโจทก์ยื่นฎีกาเมื่อพ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 บัญญัติว่าคู่ความมีอำนาจฎีกาคัดค้านคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณ์ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่าน ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์และจำเลยที่ 2 ฟังเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2531 การนับระยะเวลาหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2531 ตามวิธีที่ได้กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156,158 และ 159 ทั้งสองวรรควันที่ 21 พฤศจิกายน 2531 เป็นวันสุดท้าย โจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่21 พฤศจิกายน 2531 จึงอยู่ในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะพิพากษายกฎีกาของโจทก์ คำร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยที่ 2 อ้างในคำร้องในประการต่อมาว่าจำเลยที่ 2 ยังมิได้รับสำเนาฎีกาของโจทก์นั้น เห็นว่าเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2531 พนักงานเดินหมายได้ไปส่งสำเนาฎีกาให้นายประสิทธิ์ ภักดีวุฒิกรทนายจำเลยที่ 2 ที่บ้านเลขที่ 70/2 ถนนสงประพาหรือสรงประภาแขวงทุ่งสีกัน เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ซึ่งนายประสิทธิ์ระบุไว้ในท้ายอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ตนเป็นผู้เรียงว่าเป็นบ้านที่ตนอยู่อาศัย แต่ส่งให้ไม่ได้เพราะประตูบ้านปิดใส่กุญแจ ต่อมาวันที่ 5 มกราคม 2532 พนักงานเดินหมายไปส่งสำเนาฎีกาที่บ้านดังกล่าวอีก แต่ประตูบ้านปิดใส่กุญแจจึงได้ปิดสำเนาฎีกาไว้ที่บ้านดังกล่าวตามคำสั่งศาล การส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยที่ 2 จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74(1)(2),75 และ 79 วรรคแรกประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และถือว่าได้ส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2532 ก่อนที่ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมาให้ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว คำร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ให้ยกคำร้อง