แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่า พยานหลักฐานต่าง ๆ ทั้งพยานโจทก์และพยานจำเลยต่างเบิกความว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์คันที่จำเลยที่ 2 ขับ เห็นจำเลยที่ 2 เปิดไฟสัญญาณเลี้ยวซ้ายและขับรถชิดขอบทางด้านซ้ายจำเลยที่ 1 เข้าใจว่าจำเลยที่ 2 หลีกทางให้แซง จึงได้บีบแตรและเร่งเครื่องเพื่อแซง แต่ปรากฏว่ารถยนต์คันที่จำเลยที่ 2 ขับได้เลี้ยวขวาตัดหน้ารถยนต์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งขับตามหลังมาในระยะกระชั้นชิด จำเลยที่ 1 จึงไม่สามารถหยุดรถได้ทัน และเกิดชนกันขึ้นจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 เพราะในภาวะเช่นนั้นตามวิสัยและพฤติการณ์ของคนขับรถยนต์อย่างเช่นจำเลยที่ 1 เมื่อเห็นจำเลยที่ 2 ขับรถชิดซ้ายและเปิดไฟสัญญาณเลี้ยวซ้ายก็ได้บีบแตรเพื่อแซง จึงพอฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำไปโดยความระมัดระวังและใช้ความระมัดระวังแล้ว จะถือว่าจำเลยที่ 1ประมาทไม่ได้ ต้องถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ 2ฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยที่ 1 เพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 141)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,300,390 พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43,157 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 อันเป็นบทหนักที่สุด จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 5 ปี
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 138)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 141)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่าฎีกาจำเลยที่ 1 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ยกคำร้อง