คำสั่งคำร้องที่ 168/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยยื่นฎีกาฉบับลงวันที่ 15 ธันวาคม 2530ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับต่อมาจำเลยยื่นฎีกาฉบับลงวันที่ 17 ธันวาคม 2530 ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริงทั้งหมด ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับจำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยฉบับลงวันที่ 15 ธันวาคม 2530จำเลยฎีกาในข้อกฎหมายว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นายแก้วอินทะจักร์กับนายลักขนาพรมลือ ผู้เสียหายเบิกความว่าจำปลัดอำเภอที่ไปติดต่อไม่ได้นั้น เป็นการบิดเบือนความจริงไม่ถูกต้อง เมื่อพยานโจทก์เบิกความว่าจำไม่ได้ คดีย่อมรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด ชอบที่ศาลจะปฏิเสธไม่รับฟังพยานทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 86แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ ส่วนฎีกาฉบับลงวันที่ 17 ธันวาคม 2530จำเลยได้ฎีกาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149โดยชัดแจ้ง เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบให้ปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ ชอบที่ศาลจะพิพากษายกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 225)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 10 ปีและตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157,162 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 4 ปี เรียงกระทงลงโทษ รวมจำคุก 14 ปี ฯลฯ
จำเลยฎีกาฉบับลงวันที่ 15 ธันวาคม 2530 และ 17 ธันวาคม2530ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 215,221)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 225)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ลงโทษจำคุกจำเลยสามกระทง กระทงละไม่เกินห้าปี ฎีกาของจำเลยทั้งสองฉบับล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาทั้งสองฉบับชอบแล้วยกคำร้อง

Share