แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า กรณีเป็นการ ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง หาใช่ปัญหาข้อกฎหมายไม่ ซึ่งต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกจึงไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองเห็นว่า การที่จำเลยฎีกาว่าตามข้อเท็จจริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังยุติว่าจำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างทำหน้าที่ ดูแลรักษาต้นไม้นั้น ไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายตามฟ้อง เพราะจำเลยทั้งสองไม่มีเจตนายึดถือครอบครองที่ดิน จึงยังไม่เป็น การยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติตามฟ้อง เป็นฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสอง ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 168)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสาม ที่แก้ไขแล้ว ลงโทษจำคุกคนละ 3 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก คนละ 2 ปี ริบของกลาง ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิด ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคสอง ไม่ริบของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 165)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 167)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า แม้จำเลย ทั้งสอง เป็นลูกจ้างทำหน้าที่ดูแลรักษาต้นไม้ การกระทำของจำเลยทั้งสอง ก็เป็นการยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นความผิดตามฟ้องโจทก์แล้ว การที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองเป็นลูกจ้างทำหน้าที่ดูแลรักษาต้นไม้ จำเลยทั้งสอง ไม่มีเจตนายึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าว การกระทำของจำเลย ทั้งสองไม่เป็นความผิดนั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ ศาลอุทธรณ์รับฟังมา อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง