แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและจำเลยให้การรับสารภาพมาตลอด ข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกานั้นไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 จึงไม่รับฎีกาจำเลยเห็นว่า จำเลยได้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาแม้จะเป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลล่างทั้งสองก็ตาม จำเลยก็ย่อมฎีกาได้ กล่าวคือจำเลยได้ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ขาดองค์ประกอบความผิด รวมทั้งมิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ นอกจากนี้ยังฎีกาอีกว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 186(7) และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 54 อย่างไรก็ตามถ้าหากศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมีความผิด ก็ขอให้ลงโทษในสถานเบาด้วยโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 30)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4,5,6,10,12,15 ฯลฯ จำเลยมีโพยสลากกินรวบจำนวนมาก เห็นสมควรให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 3 เดือน ของกลางริบ
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 25)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 26)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ฎีกาจำเลยที่ว่า โจทก์บรรยายฟ้องไม่ชัดแจ้งเคลือบคลุม ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยไม่ชอบนั้นไม่เป็นสาระแก่คดีจึงไม่มีเหตุอันควรที่จะรับวินิจฉัย ส่วนฎีกาจำเลยที่ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้นเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง