แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกา ปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218,219 ส่วนฎีกาที่อ้างว่าเป็นข้อกฎหมายนั้น เป็นข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น ตามมาตรา 195 ประกอบมาตรา 225 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็น ผู้กระทำความผิดแต่ทางพิจารณาปรากฏว่าบุตรของจำเลยกับพวก เป็นผู้กระทำ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่าง กับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง จำเลยย่อมไม่ต้องรับผิด และการ กระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก ล้วนเป็นฎีกาใน ปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะมิได้ ว่ากล่าวกันมาแต่ในศาลชั้นต้น ก็เป็นข้อยกเว้นให้ฎีกาได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 63)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 362 จำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 3 ปีฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา(อันดับ 62 แผ่นที่ 2)
ทนายจำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 63)
คำสั่ง
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก จำเลย ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดแต่ทางพิจารณาปรากฏว่า บุตรจำเลยกับพวกเป็นผู้กระทำ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการ พิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง จำเลยย่อม ไม่ต้องรับผิด โดยเนื้อแท้ในฎีกาของจำเลยในส่วนนี้จำเลยมี ความประสงค์จะให้รับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด เป็นกรณีที่จำเลยโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินเนื้อที่ไม่ถึง 1 ตารางวา และจำเลย เอากระถางต้นไม้ไปวางไว้จึงไม่เป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ และการกระทำของจำเลยจึงไม่มีเจตนากระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้องนั้น ก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน คำสั่งของศาลชั้นต้น ที่ไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง