คำสั่งคำร้องที่ 1513/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้เป็นคดี มีทุนทรัพย์ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 และกรณี โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่นำไปสู่การวินิจฉัยข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ โจทก์เห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ คดีจึงไม่มีประเด็นว่า หนังสือสัญญากู้ยืมและหนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องโจทก์เป็นเอกสารปลอม การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกสัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกัน มาวินิจฉัยว่าเป็นเอกสารปลอมโดยฟังจากการตอบคำถามของพยานทั้งที่มิได้มีการพิสูจน์หลักฐานว่าลายมือชื่อหรือเอกสารดังกล่าวปลอมหรือไม่ เป็นการยกข้อกฎหมายขึ้นมาเองว่าเอกสารปลอมทั้งที่จำเลยมิได้ต่อสู้เป็นประเด็นว่าเอกสารปลอมหรือไม่ ฎีกาของ โจทก์จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยทั้งสองได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 124 แผ่นที่ 2 และแผ่นที่ 4) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน56,763.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 15 พฤศจิกายน 2534)จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แทนจนครบ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 121) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 122)

คำสั่ง ฎีกาโจทก์ในปัญหาที่ว่า จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การคดีจึงไม่มีประเด็นว่า หนังสือสัญญากู้และหนังสือสัญญาค้ำประกันตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกสัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกันมาวินิจฉัยว่าเป็นเอกสารปลอม โดยฟังจาก การตอบคำถามของพยานทั้งที่มิได้มีการพิสูจน์หลักฐานว่า ลายมือชื่อหรือเอกสารดังกล่าวปลอมหรือไม่เป็นการยกข้อกฎหมาย ขึ้นมาเองว่าเอกสารปลอมทั้งที่จำเลยมิได้ต่อสู้เป็นประเด็นว่า เอกสารปลอมหรือไม่ เห็นว่าฎีกาในข้อที่ว่าคดีมีประเด็น เรื่องหนังสือสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันปลอมหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณา และดำเนินการต่อไป

Share