แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 218ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาข้อกฎหมายชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 97)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 16 พระราชบัญญัติศุลกากร(ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 พระราชบัญญัติศุลกากร(ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83ลงโทษปรับรวม 3,529,216 บาท ฯลฯ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 95)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 97)
ไม่ปรากฏใบแต่งทนายจำเลยทั้งสองในสำนวนที่ส่งมาศาลฎีกา
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสองรวมเป็นเงิน 3,529,216 บาทคดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าผ้าของกลางได้เสียภาษีและผ่านพิธีการศุลกากรตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.18 แล้ว การขนของกลางไม่จำต้องขนในวันเดียวกัน การขนต่างวันเวลาและต่างจำนวนก็ย่อมทำได้นั้นเป็นการคัดค้านดุลพินิจที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาว่าของกลางดังกล่าวยังมิได้เสียภาษีและใบเสร็จรับเงินเอกสาร ล.1 ถึง ล.18 เป็นใบเสร็จรับเงินการนำเข้าต่างวันต่างเวลาและต่างจำนวนกับของกลางที่ถูกจับกุม จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ยกคำร้อง