คำสั่งคำร้องที่ 1253/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท และเป็นคดีฟ้องขับไล่ซึ่งขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท ทั้งจำเลยมิได้กล่าวแก้ด้วยกรรมสิทธิ์เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคแรก และวรรคสอง ฎีกาของจำเลยทั้งสามเป็นฎีกาข้อเท็จจริงและฎีกาในส่วนคำสั่งไม่อนุญาตให้แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การเคลือบคลุมไม่แจ้งชัด แม้เป็นข้อกฎหมายแต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดีจึงไม่รับ
จำเลยทั้งสามเห็นว่า คดีนี้โต้แย้งกันว่าที่ดินมิใช่ที่ดินของโจทก์ และเป็นที่สาธารณประโยชน์ โดยจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องแย้งโต้เถียงกรรมสิทธิ์ด้วย จึงเป็นคดีโต้แย้งกันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์และสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ อีกทั้งการที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสามรื้อลวดหนาม และห้ามจำเลยกับบริวารเกี่ยวข้องกับที่พิพาท จึงเป็นคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ไม่ต้องห้ามฎีกา สำหรับปัญหาว่า แผนที่โฉนดที่ดินระวาง 6 ก. 8 ฎ.เลขที่50โฉนดเลขที่2774ตำบลอมฤตอำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฉบับที่เป็นของเดิมกับฉบับที่โจทก์อ้างว่าได้มีการทำขึ้นใหม่ถูกต้องหรือไม่เพราะแผนที่โฉนดฉบับที่โจทก์อ้างดังกล่าวรวมเอาที่ดินซึ่งเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์เข้าไว้ด้วยอันเป็นการออกโฉนดที่ดินขัดต่อกฎหมายชอบที่ศาลจะเพิกถอนหรือไม่นั้น ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นข้อกฎหมายที่เป็นสารสำคัญเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสามไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยร่วมกันรื้อถอนหลักและลวดหนาม ตลอดจนสิ่งกีดขวางออกไปจากที่ดิน และให้จำเลยร่วมกันใช้เงิน 50,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 8 มีนาคม 2527 เป็นต้นไป กับร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นรายเดือนอีกเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนหลักลวดหนามออกไปให้พ้นจากที่ดินโจทก์จำเลยทั้งสามยื่นคำให้การ เฉพาะจำเลยที่ 1 ฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรื้อถอนหลักและลวดหนามออกไปจากที่พิพาทของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยกับบริวารเข้าไปเกี่ยวอีกต่อไป ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง คดีนี้ทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท และเป็นคดีฟ้องขับไล่ซึ่งขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาททั้งจำเลยไม่กล่าวแก้ด้วยกรรมสิทธิ์ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก และวรรคสอง จึงไม่รับ (อันดับ 283)
จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 285)
จำเลยทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 287)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามผู้บุกรุกออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ ซึ่งขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท จำเลยทั้งสามได้ยื่นคำให้การโดยจำเลยที่ 1แต่ผู้เดียวได้ฟ้องแย้งโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาเกี่ยวกับประเด็นตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ประเด็นตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามคำให้การของจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นที่สาธารณประโยชน์ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นฎีกาของจำเลยทั้งสามจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยนั้น จำเลยหาได้บรรยายข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างไว้โดยชัดแจ้งในฎีกาไม่ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share