คำสั่งคำร้องที่ 116/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาจำเลยกล่าวอ้างให้ศาลฎีการับฟังพยานโจทก์และพยานจำเลยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายเป็นการโต้แย้งการรับฟังพยาน จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยนี้จึงเป็นฎีกาข้อเท็จจริงทั้งหมด จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับฎีกาจำเลยจำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายเรื่องผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) ซึ่งจำเลยได้ต่อสู้ไว้แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หาได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยไม่โปรดรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ทนายโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วโดยวิธีปิดหมายตามคำสั่งศาล (อันดับ 149 แผ่นที่ 2)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์มีมูล มีคำสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3จำคุก 3 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยต่างฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยดังกล่าว (อันดับ 141,142)
ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 143)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะโจทก์รู้ดีว่าเช็คพิพาทไม่มีเงิน โจทก์รับเช็คพิพาทไว้โดยเชื่อนายดุสิตหรือควงผู้สลักหลังเช็ค ปรากฏว่าศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า เช็คพิพาทเป็นเช็คที่ออกให้เพื่อชำระหนี้ มิใช่เพื่อค้ำประกัน โจทก์มีไว้ในความครอบครองโดยนายดุสิตหรือควงสลักหลังนำมาแลกเงินสดไป โจทก์เป็นผู้เสียหาย ฎีกาจำเลยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้วยกคำร้อง

Share