คำสั่งคำร้องที่ 1148/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยทั้งสี่ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้มี ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเพียง 120,000 บาท จึงมีจำนวน ไม่เกิน 200,000 บาท จำเลยทั้งสี่ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งสิ้น จึงเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลแก่จำเลยทั้งสี่ทั้งหมด จำเลยทั้งสี่เห็นว่า จำเลยทั้งสี่มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสาม อีกทั้งฎีกาของจำเลยทั้งสี่ ข้อ 1 และข้อ 2 ที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงโดยไม่มีถ้อยคำพยาน สนับสนุน และฎีกาข้อ 3 ที่ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกเอา มาตรา 1369 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาปรับนั้นไม่ชอบ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลย ทั้งสี่ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ทนายโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 103) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 318 หมู่ที่ 4ตำบลคลองน้อย อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานีห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินแปลงดังกล่าวและให้โจทก์ ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 เดือนละ 1,500 บาท นับแต่ วันฟ้อง (วันที่ 16 เมษายน 2535) เป็นต้นไป จนกว่าโจทก์และ บริวารจะออกไปจากที่ดินดังกล่าว ให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 318 หมู่ที่ 4ตำบลคลองน้อย อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานีโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 แล้วให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายขุน และนางสมัยจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาผลของคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยทั้งสี่ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 98) จำเลยทั้งสี่จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 100)

คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ทั้งฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของ จำเลยต่างได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดี มีทุนทรัพย์ เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ทุกข้อล้วนเป็น การโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งสิ้น จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติแห่ง กฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสี่ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share