แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่า จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายฎีกาของจำเลยที่ว่าศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงนี้ จึงเป็นการฎีกา ข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยในประเด็นที่ว่าการกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ และจำเลยได้ต่อสู้ในประเด็นนี้ ไว้ชัดแจ้งทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ซึ่งคดีนี้เป็นคดีแพ่ง เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการวินิจฉัยคดีของศาลจึงสมควร ที่จะต้องวินิจฉัยองค์ประกอบความผิดให้แจ้งชัด ฎีกาของจำเลย ในประเด็นดังกล่าวนี้เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายอันควรได้รับ การพิจารณาวินิจฉัยจากศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายทรงคุณ อัตถากรผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ลงโทษจำคุก 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยมีประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง จึงลงโทษให้หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุก 4 เดือน ให้จำเลยคืน หรือชดใช้เงินจำนวน 70,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 94 แผ่นที่ 3)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 102)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญา ในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทำสัญญาในฐานะผู้ขายและแสดงตนเป็นเจ้าของบ้านแล้วไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ร่วมได้ การที่จำเลยฎีกาว่าศาลล่างยังมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยหลอกลวง ว่าเป็นเจ้าของบ้านพร้อมที่ดินพิพาท และยังมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดินพิพาท ให้แก่โจทก์ร่วมได้ การกระทำของจำเลยยังไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 341 จึงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายที่กล่าวมาข้างต้นที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้วให้ยกคำร้อง