แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับจำเลยเป็นว่า ฎีกาของจำเลยมิได้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายด้วยว่า เมื่อเปรียบเทียบเหตุแห่งความประมาททั้งฝ่ายจำเลยและฝ่ายผู้เสียหายแล้วฝ่ายจำเลยน่าจะเป็นฝ่ายถูก แม้จะถือว่าผิดทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายจำเลยควรผิดน้อยกว่า ดังนั้น ควรลงโทษจำเลยหรือไม่ หรือหากลงโทษ จะลงโทษสถาน หนักตามที่ศาลชั้นต้นวางโทษไว้ได้หรือไม่ แม้จำเลยให้การรับสารภาพควรได้รับโทษสถานเบาและได้รับการรอการลงโทษ อีกทั้งที่โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 1 ข ว่า ผู้เสียหายทั้งสองต่างขับขี่รถจักรยานยนต์มาด้วยความเร็วสูงมิอาจหักหลบรถยนต์ของจำเลยได้ทันจึงเป็นความประมาทของผู้เสียหายเองด้วย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 64)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291,300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43,52,151,157,160 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทหนักให้จำคุก 8 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก4 ปี ให้เพิกถอนใบอนุญาตขับรถยนต์ของจำเลยการกระทำของจำเลยเป็นความประมาทที่ร้ายแรง เพราะจำเลยขับขี่รถบรรทุกซึ่งเป็นรถใหญ่เข้ามาในเมืองซึ่งตามสภาพย่อมรู้อยู่แล้วว่าการจราจรคับคั่งสมควรที่จะใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่จำเลยเลี้ยวกลับรถโดยกระทันหันจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ จึงไม่สมควรรอการลงโทษให้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 23)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 24)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยมีใจความว่าจำเลยสมควรได้รับความเห็นใจ ควรได้รับอภัยและควรได้รับโทษในสถานเบาเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ว่าสมควรเพียงไรจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย จึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง