คำสั่งคำร้องที่ 1037/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ประเด็นในคดีนี้เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฉะนั้นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ส่วนฎีกาใน ปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยนั้นมีทั้งข้อเท็จจริงบางส่วน และข้อกฎหมายบางส่วนระคนกัน ซึ่งในส่วนข้อเท็จจริงนั้นต้องห้ามตามที่กล่าวแล้วส่วนในข้อกฎหมายก็มิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 ประกอบกับมาตรา 225 จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีอาญาจำเลยมีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165โดยนัยดังกล่าวต้องถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งหมดประเด็นของคดีย่อมมีอยู่ตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยจึงมิต้องให้การต่อสู้โดยชัดแจ้งเลยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด หรือคดีขาดอายุความ ฉะนั้นประเด็นของคดีที่จำเลยยกขึ้นกล่าวในฎีกาทั้งหมดว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดจึงต้องถือว่าเป็นประเด็นที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 127)
ระหว่างพิจารณา นางสงวน พงษ์พานิช ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 จำเลยเป็นน้องของผู้เสียหาย โดยมีมารดาเดียวกันแต่ต่างบิดากัน จึงให้ลงโทษจำเลยกระทงละ 1 ปี เรียงกระทงลงโทษแล้วจำคุกจำเลย 2 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ให้จำคุกจำเลยเพียงกระทงเดียว มีกำหนด1 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมฎีกา (อันดับ 122)
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 117)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 120)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาข้อ 2(ข) ของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย และจำเลยได้ยกขึ้นต่อสู้ในศาลอุทธรณ์แล้ว จึงให้รับฎีกาข้อ 2(ข) ของจำเลยไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป

Share