คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 806/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ตายเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลก่อนถึงแก่ความตายทางโรงพยาบาลคิดค่าใช้จ่ายแล้วลดค่ารักษาพยาบาลให้ครึ่งหนึ่งเนื่องจากผู้ตายเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน การที่ผู้ตายได้รับการลดค่ารักษาพยาบาลเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ตาย ไม่เป็นผลให้ความรับผิดของจำเลยต้องลดลงไปด้วย จำเลยต้องรับผิดในค่าเสียหายส่วนนี้เต็มจำนวน โจทก์ซึ่งเป็นภริยาและบุตรของผู้ตายมีสิทธิเรียกค่าเหมารถพาญาติไปเยี่ยมผู้ตายก่อนถึงแก่ความตายได้ ค่าฉีดยาศพ ค่าจ้างรถบรรทุกศพ ค่าโลงศพ ค่าจัดงานศพ 5 วันค่าทำบุญครบ 7 วัน และ 100 วัน ค่าเลี้ยงพระ ค่าผ้าบังสกุลค่าติดกัณฑ์เทศน์ เป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นและเหมาะสมที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยผู้กระทำละเมิดได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2527 เวลาประมาณ19.45 นาฬิกา จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นกรมในรัฐบาลเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ได้ขับรถบรรทุกของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการปฏิบัติงานตามหน้าที่และตามคำสั่งของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นนายจ้างในทางการที่จ้าง ขณะที่จำเลยที่ 2 ขับรถคันดังกล่าวถึงทางแยกใกล้โรงเรียนฝึกอาชีพเคลื่อนที่ 17 อำเภอสวรรคโลกจำเลยที่ 2 ขับรถด้วยความประมาทไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ล้ำเส้นกึ่งกลางถนนที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามแซง และได้ขับแซงขึ้นหน้ารถบรรทุกเล็กไม่ทราบหมายเลขทะเบียนด้วยความเร็วสูงเข้าไปในช่องทางเดินรถบรรทุกเล็กหมายเลขทะเบียน ย-1789 สุโขทัย ซึ่งนายนำ สุทธานุกูล สามีโจทก์ขับสวนทางมาเป็นเหตุให้นายนำได้รับบาดเจ็บที่หน้าอก กระดูกไหปลาร้าข้างขวาหัก มีโลหิตออกในช่องเยื่อหุ้มปอดข้างขวามาก และถึงแก่กรรมจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่จำเลยที่ 2 ได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 520,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การว่าโจทก์ไม่ได้เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายนำผู้ตายนางสาวรุ่งนภา เด็กชายนฤพล เด็กชายสุทธาศักดิ์ ตามฟ้องโจทก์นั้นไม่ใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย เหตุที่รถชนกันเกิดจากผู้ตายขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ถือว่าผู้ตายเป็นผู้ก่อให้เกิดการชนกันขึ้น จึงต้องรับผิดในความเสียหายด้วยผู้ตายไม่ใช่ผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น-1789 สุโขทัย เสียหายไม่เกิน 15,000บาท ก่อนชนมีสภาพเก่าราคาประมาณ 30,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน2,000 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างเหมารถไปเยี่ยมผู้ตายเพราะไม่ใช่ค่ารักษาพยาบาล ทั้งมีจำนวนสูงเกินความเป็นจริง ค่าจัดการศพไม่เกิน 10,000 บาท ผู้ตายไม่เคยให้ความอุปการะโจทก์ นางสาวรุ่งนภา เด็กชายนฤพล เด็กชายสุทธาศักดิ์ ผู้เยาว์โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าใช้จ่ายตามฟ้อง และค่าขาดไร้อุปการะบุตรผู้เยาว์ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 385,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2527 เวลา 19 นาฬิกาเศษ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ได้ขับรถบรรทุกของจำเลยที่ 1 กลับจากการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 มาตามถนนจรดวิถีถ่อง จำเลยที่ 2ได้ขับรถแซงรถที่แล่นอยู่ข้างหน้าขึ้นไปชนกับรถยนต์บรรทุกเล็กปิกอัพหมายเลขทะเบียน น-1789 สุโขทัย ที่นายนำ สุทธานุกูล ผู้ตายขับสวนทางมาในเส้นทางเดินรถของผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับบาดเจ็บและถึงแก่กรรมในเวลาต่อมา รถยนต์ของผู้ตายได้รับความเสียหายจำเลยที่ 2 ถูกฟ้องคดีอาญาและให้การรับสารภาพ ศาลจังหวัดสวรรคโลกได้พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 1 เดือน คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาเพียงว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และค่าเสียหายของโจทก์เพียงใด
ปัญหาเรื่องโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยที่ 1 ให้การสู้คดีไว้ 2 ประการ ประการแรกว่า โจทก์ไม่ใช่ภริยาและบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์เป็นภริยาและบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ในข้อนี้ ปัญหาประการแรกนี้จึงยุติ ส่วนประการที่สอง จำเลยที่ 1 ให้การว่า ผู้ตายเป็นฝ่ายละเมิด จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ปัญหานี้เป็นปัญหาเดียวกับที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นไว้ในคำพิพากษาว่า เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 อันจำเลยที่ 1 นายจ้างจะต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ และศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยไว้แล้ว ปัญหานี้จำเลยที่ 1 ได้ฎีกาต่อมาว่า จำเลยที่ 2 เห็นว่าจะแซงไม่ทันจึงชะลอความเร็วลงเพื่อนำรถเข้าเส้นทาง แต่ปรากฏว่ารถที่จะถูกแซงลดความเร็วลงเพื่อให้จำเลยที่ 2 แซงพ้นไปได้จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจนำรถเข้าเส้นทางได้ คงล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางประมาณ 80 เซนติเมตร จำเลยที่ 2 จึงได้ให้สัญญาณไฟเตือนรถยนต์ผู้ตาย ผู้ตายได้ตอบด้วยสัญญาณไฟ จำเลยที่ 2 เข้าใจผิดว่าผู้ตายจะหลบหลีกไปได้เพราะถนนมีความกว้างพอ แต่ผู้ตายกลับเจตนาพุ่งเข้าชนรถจำเลยที่ 2 เอง ผู้ตายเป็นฝ่ายประมาท จึงไม่มีสิทธิและอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าคำกล่าวอ้างตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีตัวจำเลยที่ 2 เพียงปากเดียวมาเบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ทั้งคดีได้ความจากร้อยตำรวจโทถวัลย์ มั่งคั่งพนักงานสอบสวนซึ่งตรวจสถานที่เกิดเหตุว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีเส้นทึบแบ่งกลางถนนไว้ และเป็นทางแยกเข้าโรงเรียน จำเลยที่ 2 ก็เบิกความรับว่าทราบว่าเส้นทึบที่แบ่งกลางถนนนั้นเป็นเครื่องหมายห้ามแซง และมีกฎจราจรห้ามแซงบริเวณทางแยก ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์แซงรถยนต์คันหน้าฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจรดังกล่าว จำเลยที่ 2 จะต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นกว่าปกติเมื่อจำเลยที่ 2 เห็นรถยนต์ที่ผู้ตายขับแล่นสวนทางมาในขณะที่กำลังแซงรถยนต์คันหน้าและรู้ว่าแซงไม่พ้น จำเลยที่ 2 จะต้องรีบลดความเร็วลงหรือหยุดรถเพื่อนำรถยนต์กลับเข้าช่องทางของตนก่อน การที่จำเลยที่ 2 เปิดไฟขอทางแล้วคาดหมายว่าผู้ตายซึ่งขับรถยนต์สวนทางมาจะเป็นฝ่ายหลบหลีกให้ทั้ง ๆ ที่ผู้ตายเป็นฝ่ายอยู่ในช่องทางที่ถูกต้องนั้น แสดงให้เห็นถึงความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 อย่างชัดแจ้ง นอกจากนี้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 451/2527 ของศาลจังหวัดสวรรคโลก ซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ว่าขับรถโดยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ โดยขับรถบรรทุกดินเทกระบะหลังแซงขึ้นหน้ารถคันอื่นตรงทางแยกที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามแซงเป็นเหตุให้ชนรถยนต์บรรทุกที่นายนำ ผู้ตายขับสวนทางมาได้รับความเสียหาย มีคนตายและบาดเจ็บสาหัส และจำเลยหลบหนีไปจำเลยที่ 2 ก็ให้การรับสารภาพ จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถโดยประมาทชนผู้ตาย โดยผู้ตายไม่ได้เป็นฝ่ายประมาท ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยปัญหานี้ชอบแล้ว
ปัญหาต่อไป ค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใด จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าค่าเสียหายของรถยนต์โจทก์ โจทก์สืบไม่ได้ว่าเสียหายเท่าใดข้อนี้โจทก์นำสืบว่ารถยนต์โจทก์ราคา 50,000 บาท และถูกชนเสียหายจนซ่อมไม่ได้ นายวิรัตน์ จันทร์สุวรรณ เจ้าของอู่พงษ์ไพศาล ซึ่งเป็นอู่รับเคาะพ่นสี ดามรถ เบิกความว่า ถ้าจะซ่อมรถยนต์โจทก์ต้องใช้จ่ายเป็นเงิน 52,000 บาท ร้อยตำรวจโทถวัลย์เบิกความว่าถ้าจะซ่อมจะต้องใช้เงินประมาณ 40,000-50,000 บาท จำเลยที่ 1 มีพยานคือ นายสำราญ ทศเทียน เบิกความว่า ได้ตีราคาค่าซ่อมรถยนต์โจทก์ไว้ 20,000 บาทแต่พยานได้ตรวจสภาพรถยนต์โจทก์เพียงผิวเผินมิได้ตรวจละเอียด จึงไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้เมื่อพิเคราะห์คำพยานโจทก์ประกอบภาพถ่ายรถยนต์โจทก์หลังจากถูกชนในสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนและรายการความเสียหายเอกสารหมาย จ.22 แล้ว เห็นว่าการที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายสำหรับรถยนต์โจทก์เป็นเงิน 40,000 บาท นั้น ถูกต้องและเหมาะสมแล้ว สำหรับค่ารักษาพยาบาลผู้ตาย มีปัญหาต่อไปว่าการที่โจทก์ได้รับลดค่ารักษาพยาบาลนั้น เป็นเหตุให้ความรับผิดของจำเลยลดลงหรือไม่ โจทก์มีใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลเอกสารหมาย จ.6มาแสดงเป็นเงิน 10,055 บาท และโจทก์เบิกความว่า โรงพยาบาลพุทธชินราชคิดค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นประมาณ 20,000 บาทเศษ เนื่องจากผู้ตายเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจึงได้รับการลดค่ารักษาพยาบาลลงครึ่งหนึ่ง ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.7 จำเลยไม่มีพยานมาหักล้างว่าความเป็นจริงมิได้เป็นไปตามที่โจทก์เบิกความ การที่โจทก์ได้รับการลดค่ารักษาพยาบาลเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ตาย ไม่เป็นผลให้ความรับผิดของจำเลยต้องลดลงไปด้วย จำเลยยังต้องมีความรับผิดในค่าเสียหายเรื่องนี้เท่าเดิม ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยปัญหานี้ชอบแล้ว
ค่าเดินทางไปเยี่ยมคนเจ็บนั้น จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า สามารถเดินทางโดยรถประจำทางได้ ค่ารถประจำทางวันละ 50 บาท รวม 20 วันเป็นเงินไม่เกิน 1,000 บาทนั้น นายประยูร สังข์ทอง พยานของโจทก์เบิกความว่า โจทก์เหมารถของตนเพื่อนำญาติพี่น้องไปเยี่ยมผู้ตายทุกวันจนผู้ตายถึงแก่กรรมวันละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 10,000บาท จึงเห็นได้ว่าโจทก์มิได้ไปเยี่ยมผู้ตายเพียงคนเดียว ที่ศาลล่างทั้งสองได้ลดลงเหลือวันละ 300 บาท เป็นเงินรวม 6,000 บาทศาลฎีกาเห็นว่าเหมาะสมแล้ว
ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นซึ่งจำเลยที่ 1 ฎีกาว่าไม่ควรเกิน 10,000 บาทนั้น เห็นว่าศาลล่างทั้งสองได้พิจารณารายละเอียดทุกรายการ เช่น ค่าฉีดยาศพ ค่าจ้างรถบรรทุกศพของผู้ตายจากจังหวัดพิษณุโลกมาอำเภอสวรรคโลก ค่าโลงศพ ค่าจัดงานศพ 5 วันค่าทำบุญครบ 7 วัน ค่าเลี้ยงพระ เลี้ยงแขก ค่าติดกัณฑ์เทศน์ค่าผ้าบังสกุล ค่าทำบุญครบ 100 วัน ซึ่งโจทก์คำนวณมาเป็นเงิน40,000 บาท และกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้โจทก์เป็นเงิน29,900 บาทนั้น เป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นและเหมาะสมแล้ว”
พิพากษายืน

Share