คำวินิจฉัยที่ 5/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นคนสัญชาติเนเธอร์แลนด์ จดทะเบียนสมรสกับจำเลยตามกฎหมายของประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างสมรสโจทก์ใช้เงินสินส่วนตัวซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทแต่ใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์เนื่องจากโจทก์ไม่อาจถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทยได้ ต่อมาโจทก์กับจำเลยฟ้องหย่ากันและศาลได้มีคำพิพากษาให้หย่าแต่มิได้พิพากษาเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสที่อยู่ในประเทศไทย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งทรัพย์พิพาทตามฟ้องแก่โจทก์กึ่งหนึ่ง กรณีเป็นเรื่องสามีภริยาที่มีสัญชาติต่างกันและสมรสกันตามกฎหมายต่างประเทศมีข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสในประเทศไทย ซึ่งต้องนำ พ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.2481 มาตรา 5 ว่าด้วยเรื่องครอบครัวซึ่งเป็นกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับครอบครัว ประกอบ ป.พ.พ. บรรพ 5 มาตรา 1470 ถึง 1474 และมาตรา 1532 ถึง 1534 มาใช้บังคับ คดีนี้จึงเป็นคดีครอบครัวตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 10 (3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุคคลในบังคับของประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อปี 2536 โจทก์กับจำเลยตกลงอยู่กินฉันสามีภริยาที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยทำสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินก่อนสมรส ต่อมาจึงจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายของประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างอยู่กินกันโจทก์นำเงินสินส่วนตัวของโจทก์มาซื้อทรัพย์สินในประเทศไทยคือ ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น เลขที่ 199/73 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 17391 ตำบลคลองสามประเวศ อำเภอลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ที่ดินโฉนดเลขที่ 21001 ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ดินโฉนดเลขที่ 26769 ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และบ้านเดี่ยวเลขที่ 19/31 หมู่บ้านเขาน้อยวิลเลจ พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 61807 ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่เนื่องจากโจทก์เป็นบุคคลต่างด้าวจึงใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ ต่อมาโจทก์กับจำเลยฟ้องหย่ากันตามกฎหมายของประเทศเนเธอร์แลนด์และศาลได้มีคำพิพากษาให้หย่าขาดจากกันแต่มิได้พิพากษาเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสซึ่งอยู่ในประเทศไทย ก่อนฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยแบ่งสินสมรสให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งบ้านและที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากไม่สามารถแบ่งได้ให้ขายโดยการประมูลราคากันระหว่างโจทก์กับจำเลยหรือขายต่อบุคคลภายนอกหรือขายทอดตลาดนำเงินที่ได้ชำระให้แก่โจทก์ และให้แบ่งเงินที่ได้จากการที่จำเลยขายที่ดินโฉนดเลขที่ 26769 ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง รวมเป็นเงิน 26,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ในวันนัดฟังคำพิพากษา ศาลจังหวัดมีนบุรีเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งสำนวนให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 11
วินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นคนสัญชาติเนเธอร์แลนด์ จดทะเบียนสมรสกับจำเลยตามกฎหมายของประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างสมรสโจทก์ใช้เงินสินส่วนตัวซื้อทรัพย์สินพิพาทแต่ใส่ชื่อจำเลยถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์เนื่องจากโจทก์ไม่อาจถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทยได้ ต่อมาโจทก์กับจำเลยฟ้องหย่ากันและศาลได้มีคำพิพากษาให้หย่าแต่มิได้พิพากษาเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสที่อยู่ในประเทศไทย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งทรัพย์สินพิพาทตามฟ้องแก่โจทก์กึ่งหนึ่ง กรณีเป็นเรื่องสามีภริยาที่มีสัญชาติต่างกันและสมรสกันตามกฎหมายต่างประเทศมีข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสในประเทศไทย ซึ่งต้องนำพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.2481 มาตรา 5 ว่าด้วยเรื่องครอบครัวซึ่งเป็นกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับครอบครัว ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 มาตรา 1470 ถึง 1474 และมาตรา 1532 ถึง 1534 มาใช้บังคับ คดีนี้จึงเป็นคดีครอบครัวตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 10 (3)
วินิจฉัยว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว
วินิจฉัย ณ วันที่ 25 เดือน มกราคม พุทธศักราช 2559

(ลงชื่อ) วีระพล ตั้งสุวรรณ
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ)
ประธานศาลฎีกา

Share