คำวินิจฉัยที่ 18/2553

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

ไม่มีย่อสั้น

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๘/๒๕๕๓

วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลแขวงอุบลราชธานี
ระหว่าง
ศาลปกครองนครราชสีมา

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแขวงอุบลราชธานีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๑ นางอุดร พอล โจทก์ ยื่นฟ้อง สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ ๑ นายพยุงศักดิ์ สายเนตร ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลแขวงอุบลราชธานี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๔๖๑๖/๒๕๕๑ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่า ไม่มีเอกสารสิทธิ เนื้อที่ ๑๒ ไร่ ๗๐ ตารางวา ตั้งอยู่หมู่ที่ ๖ ตำบลโนนก่อ อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี โดยซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากนางหนู กากแก้ว และครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของมาโดยตลอด ต่อมาประมาณเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๑ จำเลยที่ ๒ บุกรุกเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ โดยอ้างว่าซื้อที่ดินจากผู้มีชื่อและยื่นคำขอออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) และได้หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) แล้ว โจทก์ตรวจสอบที่หน่วยงานในสังกัดจำเลยที่ ๑ พบว่า จำเลยที่ ๒ ยื่นคำขอโดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่าครอบครองทำประโยชน์เกษตรกรรมในที่ดินซึ่งมีเนื้อที่ทับที่ดินของโจทก์บางส่วน การที่เจ้าหน้าที่สังกัดจำเลยที่ ๑ ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ให้แก่จำเลยที่ ๒ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ของจำเลยที่ ๒ ทั้งหมดหรือในส่วนที่ทับที่ดินโจทก์ ให้โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท และให้จำเลยที่ ๒ รื้อถอนต้นไม้ออกจากที่ดิน ห้ามจำเลยที่ ๒ และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินของโจทก์ กับให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า การออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ให้แก่จำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่อาจเพิกถอนสิทธิของจำเลยที่ ๒ ในที่ดินพิพาททั้งหมดหรือบางส่วนได้ ฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริงตามที่กล่าวอ้าง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า การซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับนางหนู กากแก้ว ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๑๘ มาตรา ๓๙ ซึ่งบัญญัติห้ามบุคคลที่ได้รับสิทธิทำกินในที่ดินโดยการปฏิรูปที่ดินโอนสิทธิในที่ดินไปยังบุคคลอื่น การซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับนางหนูเป็นการซื้อขายที่ดินอันเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย นิติกรรมดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครอง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่เคยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๒ เป็นผู้มีคุณสมบัติตามกฎหมายที่จะยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน และมิได้แจ้งอาณาเขตต่อเจ้าพนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรทับที่ดินของนางหนู หรือบริเวณที่โจทก์อ้างว่าเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์บริเวณที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้มีประเด็นพิพาทต้องวินิจฉัยว่าการออกคำสั่งอนุญาตให้บุคคลเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐในเขตปฏิรูปที่ดินเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๓๖/๒๕๔๗

ศาลแขวงอุบลราชธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ทับที่ดินที่โจทก์อ้างว่ามีสิทธิครอบครอง และจัดที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๒ เข้าทำประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของโจทก์ก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองและคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ที่ออกให้แก่จำเลยที่ ๒ รวมทั้งให้จำเลยที่ ๒ ชดใช้ค่าเสียหายตามคำขอของโจทก์นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญแล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไปได้ คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครราชสีมาพิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่จำเลยที่ ๑ ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) หรือ ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข ซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยทับที่ดินมือเปล่าของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกคำสั่งทางปกครอง และกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากคำสั่งทางปกครอง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) (๓) และ (๔) คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๒๑/๒๕๔๙ และที่ ๓๖/๒๕๔๗

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน โดยอ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่า ไม่มีเอกสารสิทธิ แต่จำเลยที่ ๒ บุกรุกเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของโจทก์และยื่นคำขอออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) โดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่าครอบครองทำประโยชน์เกษตรกรรมในที่ดินแปลงดังกล่าว การที่เจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยที่ ๑ ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ให้แก่จำเลยที่ ๒ ทับที่ดินของโจทก์บางส่วน จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ของจำเลยที่ ๒ ทั้งหมดหรือในส่วนที่ทับที่ดินโจทก์ ให้โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท และให้จำเลยที่ ๒ รื้อถอนต้นไม้ออกจากที่ดิน ห้ามจำเลยที่ ๒ และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินของโจทก์ กับให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่า การออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ให้แก่จำเลยที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้การว่า การซื้อขายที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินระหว่างโจทก์กับนางหนู กากแก้ว เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย จึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองและไม่เคยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๒ เป็นผู้มีคุณสมบัติตามกฎหมายที่จะยื่นคำขอเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน และมิได้แจ้งอาณาเขตต่อเจ้าพนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรทับที่ดินของนางหนูหรือบริเวณที่โจทก์อ้างว่าเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์บริเวณที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้ แม้โจทก์จะกล่าวอ้างว่าได้รับความเสียหายจากการที่เจ้าหน้าที่ในสังกัดจำเลยที่ ๑ ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ทับที่ดินของโจทก์ อันเป็นกรณีโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายในการฟ้องคดีก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ ประกอบกับจำเลยที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปและมิได้แจ้งอาณาเขตทับที่ดินพิพาทตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลยุติธรรม

จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางอุดร พอล โจทก์ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ ๑ นายพยุงศักดิ์ สายเนตร ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

พลโท (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศานิต สร้างสมวงษ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share