แหล่งที่มา : สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
การฟ้องคดีเพื่อให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐรับผิดจากการกระทำละเมิดซึ่งจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ต้องเป็นกรณีที่จำเลยหรือผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือผู้ฟ้องคดี อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเนื่องมาจากโจทก์อ้างว่า จำเลยทั้งห้าและจำเลยร่วมซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกับเอกชนกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยการร่วมกันบุกรุกเข้าไปปรับถมดิน ขุดเจาะที่ดิน ทุบทำลาย และรื้อถอนท่อระบายน้ำของโจทก์ เพื่อสร้างถนน วางท่อซีเมนต์ทำทางระบายน้ำตัดผ่านที่ดินของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ แต่การกระทำดังกล่าวมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันจะเข้าหลักเกณฑ์ของมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ทั้งข้อพิพาทดังกล่าวเป็นเพียงผลของการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งห้าและจำเลยร่วม ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ การที่จำเลยทั้งห้าและจำเลยร่วมกระทำการดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ก็เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ แต่หากที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือตกเป็นทางภาระจำยอมตามกฎหมายแล้วจะเป็นผลให้จำเลยทั้งห้าและจำเลยร่วมมีอำนาจเข้าไปปรับถมดิน ขุดเจาะที่ดิน ทุบทำลาย และรื้อถอนท่อระบายน้ำ วางท่อซีเมนต์ทำทางระบายน้ำตัดผ่านที่ดินของโจทก์เพื่อดำเนินการก่อสร้างถนนลาดยางสายเขาน้ำตกโตนช่องฟ้า – บ้านบางเนียง ได้โดยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดและสิทธิในที่ดินที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม