แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
ไม่มีย่อสั้น
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๒/๒๕๕๓
วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๓
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดกระบี่
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดกระบี่ส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็น มีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑ นายสมชัย เล็กกอ โจทก์ ยื่นฟ้อง กรมที่ดิน ที่ ๑ นายอำเภอเกาะลันตา ที่ ๒ นายก่อเดด พูนเส็ม ที่ ๓ นายอุเส็น ก๊กใหญ่ ที่ ๔ นายก้าเหม ก๊กใหญ่ ที่ ๕ จำเลย ต่อศาลจังหวัดกระบี่ เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๕๘๔/๒๕๕๑ ความว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ ๑ งาน ต่อจาก นายดล เล็กกอ บิดา ตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๓๐ หมู่ที่ ๔ ตำบลเกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ได้นำข้อความอันเป็นเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเกาะลันตาว่า จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว โดยครอบครองต่อจากบิดามารดาเป็นเวลายาวนานหลายสิบปี จนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ หลงเชื่อได้จดข้อความอันเป็นเท็จลงในแบบบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์ และได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๙๓๐, ๙๓๑ และ ๙๒๙ ตำบลเกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ให้แก่จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ตามลำดับ ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ไม่เคยเข้าครอบครองหรือทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแต่อย่างใด การออก น.ส. ๓ ก. ทั้งสามแปลงดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันมีคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๙๓๐, ๙๓๑ และ ๙๒๙ ที่ออกให้แก่จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ตามลำดับ
จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน ส.ค. ๑ เลขที่ ๓๐ ดังกล่าว จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าว และได้นำที่ดินไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยเจ้าพนักงานที่ดินได้สอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีผู้ใดคัดค้าน แล้วออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๙๓๐, ๙๓๑ และ ๙๒๙ ให้แก่จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ตามลำดับ จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ได้ขอออก น.ส. ๓ ก. โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ก่อนฟ้องคดีนี้บิดาโจทก์ได้ฟ้องผู้ซื้อที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. ทั้งสามแปลงดังกล่าวต่อศาลนี้เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๒๖๖/๒๕๕๐ เกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงเดียวกัน ซึ่งศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะไม่นำค่าขึ้นศาลมาวางให้ครบจำนวน การที่โจทก์นำคดีที่ถูกจำหน่ายแล้วมาฟ้องใหม่ ทำให้สงสัยว่าโจทก์หรือบิดาโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดิน โจทก์จึงใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. นั้น เป็นการฟ้องให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครอง คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดกระบี่พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จะสืบเนื่องมาจากการที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ดุลพินิจรับรองการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ แต่เมื่อพิจารณาตามความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างเป็นสำคัญ ส่วนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รับรองออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ก็ต้องเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดรวมทั้งปฏิบัติตามกฎ หรือระเบียบในเรื่องนั้น ๆ เพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ซึ่งจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ก็ได้กล่าวอ้างในคำให้การของตนมีใจความสำคัญว่า ต่างได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมาจากรุ่นบิดามารดาเป็นเวลายาวนาน และเจ้าพนักงานที่ดิน มีการสอบสวนสิทธิการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแล้วก่อนมีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ จึงมีผลเท่ากับเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินของโจทก์ โดยอาศัยหลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๓ แต่การพิจารณาว่าโจทก์หรือจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ เป็นผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงหรือไม่ ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงตามที่เป็นจริง และสามารถนำสืบข้อเท็จจริงเพื่อแสดงสิทธิในที่ดินต่างจากที่ปรากฏในหลักฐานทางทะเบียนได้ ดังนั้นการที่จะมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ออกให้แก่จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ หรือไม่นั้น จำเป็นต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ อันเป็นประเด็นสำคัญแห่งคดี จึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไปได้ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า มูลเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จะสืบเนื่องมาจากการที่กรมที่ดิน จำเลยที่ ๑ และนายอำเภอเกาะลันตาในฐานะเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกคำสั่งและลงนามในการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้กับจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ซึ่งโจทก์เห็นว่า เป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้ตรวจสอบความเป็นมาของที่ดิน การครอบครองและการทำประโยชน์ในที่ดิน อันเป็นการกล่าวอ้างว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ และโจทก์ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
สำหรับประเด็นปัญหาว่า ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท นั้น เป็นประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดีอันเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะพิจารณาว่า การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาว่าโจทก์หรือจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทดังกล่าว จะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงอาจนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจอ้างกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะมีสิทธิดีกว่า อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่า ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาท ในคดีได้ ประกอบกับการพิจารณาแต่เพียงประเด็นย่อยว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ฝ่ายใดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็ไม่อาจจะวินิจฉัยได้ว่า การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ กรณีต้องพิจารณาประกอบประเด็นปัญหาอื่นอีก จึงจะสามารถวินิจฉัยถึงความชอบด้วยกฎหมายของการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวได้ ซึ่งก็เป็นประเด็นปัญหาที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองเช่นเดียวกัน ดังนั้น คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือ ศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ซึ่งเป็นเอกชน โดยโจทก์อ้างว่า เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินเนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ ๑ งาน ต่อจากบิดาตาม ส.ค. ๑ เลขที่ ๓๐ หมู่ที่ ๔ ตำบลเกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ แต่ถูกจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ นำข้อความอันเป็นเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเกาะลันตาว่า เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวต่อจากบิดามารดาเพื่อขอออก น.ส. ๓ ก. จนจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ หลงเชื่อออก น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๙๓๐, ๙๓๑ และ ๙๒๙ ให้แก่จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ตามลำดับ ทั้งที่จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ไม่เคยเข้าครอบครองหรือทำประโยชน์ การออก น.ส. ๓ ก. ทั้งสามแปลงดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันมีคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ ก. ทั้งสามแปลงดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ ให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน ส.ค. ๑ เลขที่ ๓๐ จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ และได้ขอออก น.ส. ๓ ก. โดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นการที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่โจทก์ขอได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า โจทก์หรือจำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายสมชัย เล็กกอ โจทก์ กรมที่ดิน ที่ ๑ นายอำเภอเกาะลันตา ที่ ๒ นายก่อเดด พูนเส็ม ที่ ๓ นายอุเส็น ก๊กใหญ่ ที่ ๔ นายก้าเหม ก๊กใหญ่ ที่ ๕ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศานิต สร้างสมวงษ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศานิต สร้างสมวงษ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ