แหล่งที่มา : หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทที่จำเลยอาศัย ฟ้องขับไล่จำเลยเนื่องจากโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่อาศัยในทรัพย์พิพาทอีกต่อไป แต่จำเลยเพิกเฉย อันเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยอยู่ในทรัพย์พิพาทโดยละเมิด แม้จำเลยให้การว่า ทรัพย์พิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยซึ่งได้รับการให้มาจากมารดา และผู้รับมอบอำนาจโจทก์เคยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย แต่เมื่อโจทก์เป็นบุคคลภายนอกมีข้อพิพาทกับจำเลยซึ่งมิได้มีความสัมพันธ์ทางครอบครัวโดยตรงต่อกัน จึงเป็นกรณีที่ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 2 ลักษณะ 5 ว่าด้วยเรื่องละเมิด คดีนี้จึงไม่เป็นคดีครอบครัวตาม พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 10 (3)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นาง ญ. เป็นผู้ฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลยแทนโจทก์ เดิมผู้รับมอบอำนาจโจทก์กับจำเลยเคยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรผู้เยาว์ด้วยกัน 3 คน ระหว่างสมรสพักอาศัยด้วยกันอยู่ที่หมู่ที่ 4 บ้านกำไสจาน ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ โดยสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่บนที่ดินมือเปล่าของนาย ก. พี่ชายจำเลย ต่อมาปี 2551 นาย ก. ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์รื้อบ้านหลังเล็กออกแล้วสร้างบ้านหลังใหม่โดยอนุญาตให้ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ จำเลย และบุตรทั้งสามอาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวชั่วคราว นอกจากนี้โจทก์ยังให้ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ค้าขายในร้านค้าที่โจทก์สร้างขึ้นด้วย เมื่อปี 2554 ผู้รับมอบอำนาจโจทก์กับจำเลยมีปัญหาด้านครอบครัว จำเลยขนของและเครื่องใช้ส่วนตัวที่อยู่ในบ้านของโจทก์กลับไปอาศัยอยู่ที่บ้านของบิดา หลังจากนั้นวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556 ผู้รับมอบอำนาจโจทก์กับจำเลยจดทะเบียนหย่ากันตามคำพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์ แต่ในระหว่างที่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกันนั้น จำเลยขนของและเครื่องใช้ส่วนตัวกลับไปอยู่ที่บ้านของโจทก์อีกครั้งและกระทำการข่มขู่ผู้รับมอบอำนาจโจทก์และบุตรทั้งสามคน ต่อมาโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ขอให้จำเลยขนของออกไป เนื่องจากโจทก์ต้องการที่จะขายที่ดินพร้อมบ้านให้แก่บุคคลอื่น แต่จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้จำเลยขนข้าวของและเครื่องใช้ส่วนตัวออกจากที่ดินและบ้านของโจทก์และห้ามยุ่งเกี่ยวกับที่ดินและบ้านของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์เป็นความเท็จ ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยนาง ส. มารดาของจำเลยยกให้แก่จำเลยเมื่อปี 2538 ต่อมา ปี 2540 จำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้รับมอบอำนาจโจทก์โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส และอาศัยอยู่ในที่ดินแปลงพิพาทโดยโจทก์ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้อง ต่อมาปี 2549 จำเลยรื้อบ้านหลังเดิมและปลูกสร้างบ้านหลังใหม่ โดยโจทก์ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องและไม่เคยช่วยออกเงินสร้างบ้านดังกล่าว ทั้งจำเลยและครอบครัวไม่เคยขออาศัยอยู่บ้านของโจทก์ตามคำฟ้อง สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์กับนาย ก. เป็นเอกสารปลอม โจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ใช้สิทธิทางศาลไม่สุจริต เนื่องจากผู้รับมอบอำนาจโจทก์ต้องการบ้านและที่ดินซึ่งเป็นสินส่วนตัวของจำเลย จึงวางแผนว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ซึ่งซื้อจากนาย ก. และเป็นผู้สร้างบ้าน ทั้งสร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จเพื่อใช้ในการฟ้องคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์และตรวจสอบเอกสารประเมินราคาที่ดินพิพาท ศาลจังหวัดสุรินทร์เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 300,000 บาท จึงโอนสำนวนไปยังศาลแขวงสุรินทร์ ศาลแขวงสุรินทร์เห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งสำนวนให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 11
วินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาท ฟ้องขับไล่จำเลยเนื่องจากโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่อาศัยในทรัพย์พิพาทอีกต่อไป แต่จำเลยเพิกเฉย อันเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยอยู่ในทรัพย์พิพาทโดยละเมิด แม้จำเลยให้การว่า ทรัพย์พิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยซึ่งได้รับการให้จากมารดา และผู้รับมอบอำนาจโจทก์เคยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย แต่เมื่อโจทก์เป็นบุคคลภายนอกมีข้อพิพาทกับจำเลยซึ่งมิได้มีความสัมพันธ์ทางครอบครัวโดยตรงต่อกัน จึงเป็นกรณีที่ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 2 ลักษณะ 5 ว่าด้วยเรื่องละเมิด คดีนี้จึงไม่เป็นคดีครอบครัวตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 10 (3)
วินิจฉัยว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว
วินิจฉัย ณ วันที่ 31 เดือน มกราคม พุทธศักราช 2557
ดิเรก อิงคนินันท์
(นายดิเรก อิงคนินันท์)
ประธานศาลฎีกา
อโนชา ชีวิตโสภณ – ย่อ/ตรวจ