แหล่งที่มา : สำนักงานเขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาว่า การสำคัญผิดของผู้ฟ้องคดีทั้งสองเกิดจากข้อมูลราคาประเมินตาราวาละ ๔,๐๐๐ บาท ที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งไม่เป็นปัจจุบัน การที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้ชำระค่าธรรมเนียม ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และค่าอากรแสตมป์ในวันจดทะเบียนซื้อขายที่ดินรายพิพาทตามที่เจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ กำหนดจึงถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้ทำนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทกันโดยชอบตรงตามเจตนาและเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้จดทะเบียนสิทธินิติกรรมโดยคำนวณเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และค่าอากรแสตมป์ ตามราคาประเมินตารางวาละ ๔,๐๐๐ บาท และราคาซื้อขายที่สูงกว่าราคาประเมินตารางวาละ ๔,๐๐๐ บาท เพียงเล็กน้อย โดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่มีเหตุต้องเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีทั้งสอง ส่วนการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำสั่งตามหนังสือเพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนขาย (ระหว่างเช่า) ที่ดินพิพาทจากผู้ฟ้องคดีทั้งสอง นั้น กฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้ว่าการจดทะเบียนที่ดำเนินการไปถูกต้องแล้วและต่อมาตรวจพบว่ามีความบกพร่องเป็นเหตุให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเรียกเก็บค่าธรรมเนียมไม่ครบถ้วนนั้นมีสิทธิเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมได้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงไม่มีอำนาจที่จะเรียกให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองชำระค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ดังนั้น คำสั่งที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองชำระค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่ศาลฎีกาพิพากษาว่า การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการขายที่ดินพิพาทจะต้องถือตามราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายที่ดินโดยต้องถือว่าราคาประเมินที่ดินตารางวาละ ๔๕,๐๐๐ บาท ซึ่งมีผลใช้บังคับก่อนวันที่จดทะเบียนซื้อขายที่ดินพิพาทดังกล่าวนั้นเป็นเงินได้พึงประเมินของโจทก์ (ผู้ร้อง) เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาประเมิน ๓๕,๔๙๑,๕๐๐ บาท การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินประเมินราคาที่ดินพิพาททั้งแปลงเพียง ๓,๑๕๔,๘๐๐ บาท เจ้าพนักงานประเมินของจำเลย (กรมสรรพากร) มีอำนาจเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ถูกต้องครบถ้วนได้ การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินที่ให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและคำวินิจฉัยอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมาย ส่วนเหตุลดหรืองดเงินเพิ่มนั้น การที่โจทก์ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ครบถ้วน เนื่องจากเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดิน ประเมินราคาที่ดินพิพาทราคาตารางวาละ ๔,๐๐๐ บาท ตามที่ยังคงปรากฏอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักงานที่ดินซึ่งต่ำกว่าราคาประเมินที่แท้จริง เป็นเหตุที่ไม่ใช่ความผิดของโจทก์ (ผู้ร้อง) สมควรให้งดเงินเพิ่มแก่โจทก์ คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดไม่สั่งให้เรียกค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธินิติกรรมเพิ่ม กับไม่เพิกถอนการจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทและคำพิพากษาศาลฎีกามิได้ขัดแย้งกัน ทั้งกรณีการยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการกำหนดแนวทางการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ นี้ จะต้องเป็นกรณีที่การวินิจฉัยขัดแย้งกันจนเป็นเหตุให้ไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดนั้นได้ เมื่อไม่ปรากฏว่ามีเหตุให้ผู้ร้องไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดและคำพิพากษาของศาลฎีกาได้ กรณีตามคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒