คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5804/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้มอบให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนทำสัญญาซื้อขายคอนกรีตผสมเสร็จโดยตกลงราคาและสถานที่ส่งมอบตามชนิดและปริมาตรโดยให้เครดิตแก่จำเลยทั้งสาม 60 วัน ตามสัญญาซื้อขาย การส่งมอบและเรียกเก็บเงินจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้โจทก์ออกบิลเรียกเก็บในนามบริษัทจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์ได้ส่งสินค้าให้แก่จำเลยทั้งสามหลายครั้งตามรายละเอียดในฟ้อง รวมเป็นเงินที่จำเลยทั้งสามต้องชำระแก่โจทก์ทั้งสิ้น 613,122.84 บาท ครบกำหนดชำระเงินแล้ว จำเลยทั้งสามไม่ชำระ โจทก์ทวงถามหลายครั้งจำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาเกี่ยวกับการซื้อขายและคำขอบังคับ รวมทั้งข้ออ้างที่ระบุให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 รับผิดต่อโจทก์แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม และเมื่อเป็นการซื้อขายที่กระทำต่อเนื่องกันจำเลยที่ 1 และที่ 3 ย่อมต่อสู้ได้ว่า มิได้สั่งซื้อหรือได้ชำระราคาส่วนใดไปแล้วเท่าใด
บริษัทจำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันรับจ้างก่อสร้างโรงงาน จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีที่อยู่ที่เดียวกัน เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นบริษัทสาขาหรือบริษัทลูกของจำเลยที่ 3 ด้วย ย่อมแสดงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ดำเนินกิจการร่วมกันมาโดยตลอด จึงไม่อาจอ้างความเป็นนิติบุคคลแยกจากกันมาปฏิเสธความรับผิดได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๖๙๕,๖๑๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖๑๓,๑๒๒.๘๔ บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันชำระเงินจำนวน ๖๑๓,๑๒๒.๘๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๓๗ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน ๘๒,๔๘๘ บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๑๐,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๓๖ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาซื้อขายคอนกรีตผสมเสร็จกับโจทก์ โดยตกลงราคาต่อหน่วยกันไว้ และจะต้องชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ภายใน ๖๐ วัน มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้มอบให้จำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนทำสัญญาซื้อขายคอนกรีตผสมเสร็จโดยตกลงราคาและสถานที่ส่งมอบตามชนิดและปริมาตร โดยให้เครดิตแก่จำเลยทั้งสาม ๖๐ วัน การส่งมอบและเรียกเก็บเงินจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้โจทก์ออกบิลเรียกเก็บในนามบริษัทจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โจทก์ได้ส่งสินค้าให้แก่จำเลยทั้งสามหลายครั้งตามรายละเอียดในฟ้อง รวมเป็นเงินที่จำเลยทั้งสามต้องชำระแก่โจทก์ทั้งสิ้น ๖๑๓,๑๒๒.๘๔ บาท ครบกำหนดชำระเงินแล้ว จำเลยทั้งสามไม่ชำระ โจทก์ทวงถามหลายครั้ง จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้จำเลยทั้งสามชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ เห็นว่า ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาเกี่ยวกับการซื้อขายและคำขอบังคับรวมทั้งข้ออ้างที่ระบุให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ รับผิดต่อโจทก์แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม และเมื่อเป็นการซื้อขายที่กระทำต่อเนื่องกัน จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ย่อมต่อสู้ได้ว่า มิได้สั่งซื้อหรือได้ชำระราคาส่วนใดไปแล้วเท่าใด ข้ออ้างของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ที่ว่า ไม่สามารถต่อสู้คดีได้จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ประการต่อไปว่า ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมรับผิดไม่ถูกต้องเพราะจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ เป็นนิติบุคคลต่างหากจากกันนั้น เห็นว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันรับจ้างก่อสร้างโรงงาน แม้ใบเสร็จรับเงินจะระบุชื่อจำเลยที่ ๓ เป็นลูกค้าก็ตาม แต่ตามเอกสารที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ แจ้งไปถึงโจทก์เรื่องแจ้งเปลี่ยนแปลงที่อยู่สำนักงานใหม่นั้นปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ มีที่อยู่ใหม่ที่เดียวกัน และนายทวีปในฐานะผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อก็เบิกความว่า ตนเองเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ มีหน้าที่เป็นฝ่ายจัดซื้อและเบิกความว่า จำเลยที่ ๑ เป็นบริษัทสาขาหรือบริษัทลูกของจำเลยที่ ๓ อีกด้วย ย่อมแสดงว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ดำเนินกิจการร่วมกันมาโดยตลอด จึงไม่อาจอ้างความเป็นนิติบุคคลแยกจากกันมาปฏิเสธความรับผิดได้
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑๐,๐๐๐ บาท แทนโจทก์.

Share