คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2675/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ใบแต่งทนายความของโจทก์ ในคดีแรงงานระบุไว้ชัดว่าให้ทนายโจทก์มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใดไปในทางจำหน่ายสิทธิของโจทก์ด้วย เช่น การยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอนฟ้อง การประนีประนอมยอมความ ทนายความโจทก์จึงมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความแทนโจทก์ได้ แม้สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแรงงานจะมีข้อตกลงด้วยว่า โจทก์จะถอนฟ้องคดีอาญาของศาลจังหวัดเชียงราย และถอนฟ้อง ถอนคำร้องทุกข์ในคดีอื่น ๆ และสัญญาว่าโจทก์จำเลยต่างจะไม่ดำเนินคดีใด ๆ ต่อกันอีก ไม่ว่าทางแพ่งหรืออาญาก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าข้อตกลงดังกล่าวทำนอกเหนือขอบอำนาจที่โจทก์มอบหมาย เพราะตามใบแต่งทนายความมิได้จำกัดไว้แต่เฉพาะคดีแรงงานเท่านั้น ทั้งข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่เกี่ยวเนื่องกับข้อตกลงซึ่งเป็นประเด็นที่พิพาทกันในคดีแรงงาน
โจทก์ในคดีอาญามีอำนาจถอนฟ้องได้ก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือก่อนคดีถึงที่สุดแล้วแต่กรณี ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 35 ข้อตกลงว่าโจทก์จะถอนฟ้องและถอนคำร้องทุกข์จึงไม่ขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ในการพิจารณาคดีแรงงานศาลจะต้องดำเนินการไกล่เกลี่ยตั้งแต่แรกที่คู่ความมาพร้อมกันแล้วและไกล่เกลี่ยตลอดไปจนเสร็จการพิจารณาตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 38 และมาตรา 43 บทบัญญัติดังกล่าวให้อำนาจศาลแรงงานไกล่เกลี่ยให้คู่ความตกลงกันได้โดยมิได้จำกัดให้ศาลแรงงานต้องไกล่เกลี่ยได้แต่เฉพาะคดีแรงงาน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้าง ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและโบนัสหรือบำเหน็จพร้อมทั้งดอกเบี้ยรวมจำนวน ๑๒๘,๖๒๕ บาท จำเลยให้การว่า โจทก์ทุจริตและกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่จำเลย จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายและขาดงาน ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานจำเลยวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๔๓ มีทนายโจทก์และนายสุวิทย์ สุธรรมบุตร ผู้รับมอบอำนาจจำเลยมาศาล ศาลแรงงานกลางไกล่เกลี่ยแล้วคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยยอมจ่ายเงินช่วยเหลือให้โจทก์เป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท และจำเลยหรือนายสุวิทย์ จะถอนคำร้องทุกข์หรือการแจ้งความให้ดำเนินคดีอาญาใด ๆ แก่โจทก์ทุกเรื่องให้เสร็จสิ้นภายใน ๑๕ วัน ส่วนโจทก์จะถอนฟ้องคดีหมายเลขดำที่ ๓๗๑/๒๕๔๑ ของศาลจังหวัดเชียงราย ที่โจทก์ฟ้องนายสุวิทย์เป็นจำเลยและหรือถอนฟ้อง ถอนคำร้องทุกข์ในคดีอื่น ๆ ไม่ว่าต่อบริษัทจำเลยและหรือกรรมการคนหนึ่งคนใดของจำเลยให้เสร็จสิ้นภายใน ๑๕ วัน และโจทก์จำเลยต่างจะไม่ดำเนินคดีใด ๆ ต่อกันอีกไม่ว่าทางแพ่งหรืออาญา ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยแล้ว โจทก์อุทธรณ์ว่า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๓๗๑/๒๕๔๑ ของศาลจังหวัดเชียงราย ถอนฟ้อง ถอนคำร้องทุกข์ในคดีอื่น ๆ และจำเลยจะถอนคำร้องทุกข์หรือแจ้งความคดีอาญาใด ๆ แก่โจทก์ทุกเรื่องตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ ๒ และข้อ ๓ เป็นการจำกัดสิทธิฟ้องร้องบุคคลผู้กระทำผิดอาญาเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทนายโจทก์ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวไปนอกเหนือขอบอำนาจที่โจทก์มอบหมายให้ว่าความคดีแรงงานเท่านั้น ข้อตกลงตามข้อ ๒ ข้อ ๓ และข้อ ๕ ในสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ใช่การยอมความกันในประเด็นแห่งคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ที่ถูกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง) มาตรา ๑๓๘ คำพิพากษาตามยอมของศาลแรงงานกลางจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า ในใบแต่งทนายความของโจทก์ฉบับลงวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๒ ได้ระบุไว้ชัดว่าให้ทนายโจทก์มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใดไปในทางจำหน่ายสิทธิของโจทก์ด้วยเช่น การยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอนฟ้อง การประนีประนอมยอมความ ทนายความโจทก์จึงมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวแทนโจทก์ แม้สัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๒ มีข้อตกลงว่า โจทก์จะถอนฟ้องคดีหมายเลขดำที่ ๓๗๑/๒๕๔๑ ของศาลจังหวัดเชียงรายและถอนฟ้อง ถอนคำร้องทุกข์ในคดีอื่น ๆ และสัญญาข้อ ๕ ว่าโจทก์จำเลยต่างจะไม่ดำเนินคดีใด ๆ ต่อกันอีก ไม่ว่าทางแพ่งหรืออาญา แม้คดีอาญาดังกล่าวมิใช่คดีแรงงานและโจทก์แต่งตั้งทนายให้ว่าความคดีนี้ซึ่งเป็นคดีแรงงานก็ตาม แต่ในใบแต่งทนายความของโจทก์ดังกล่าวมอบหมายให้ทนายโจทก์มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อระงับข้อพิพาทได้โดยมิได้จำกัดไว้แต่เฉพาะคดีแรงงานเท่านั้นและข้อตกลงตามข้อ ๒ ข้อ ๓ และข้อ ๕ ก็เกี่ยวเนื่องกับข้อตกลงข้อ ๑ ซึ่งเป็นประเด็นที่พิพาทกันในคดีแรงงาน ประกอบกับโจทก์ในคดีอาญามีอำนาจถอนฟ้องได้ก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือก่อนคดีถึงที่สุดแล้วแต่กรณี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๕ ดังนั้นข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน นอกจากนี้ในการพิจารณาคดีแรงงานศาลจะต้องดำเนินการไกล่เกลี่ยตั้งแต่แรกที่คู่ความมาพร้อมกันแล้วและไกล่เกลี่ยตลอดไปจนเสร็จการพิจารณาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๘ และมาตรา ๔๓ โดยเฉพาะมาตรา ๓๘ วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า ให้ศาลแรงงานไกล่เกลี่ยให้คู่ความได้ตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกัน โดยให้ถือว่าคดีแรงงานมีลักษณะพิเศษอันควรระงับลงได้ด้วยความเข้าใจอันดีต่อกัน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายจะได้มีความสัมพันธ์กันต่อไป จะเห็นได้ว่า บทบัญญัติดังกล่าวให้อำนาจศาลแรงงานไกล่เกลี่ยให้คู่ความตกลงกันได้โดยมิได้จำกัดให้ศาลแรงงานต้องไกล่เกลี่ยได้แต่เฉพาะคดีแรงงานดังจำเลยอุทธรณ์ ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

นายสมจิตร์ ทองศรี ผู้ช่วยฯ
นางสาวสุดรัก สุขสว่าง ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นายไมตรี ศรีอรุณ ผู้ช่วยฯ/ตรวจ

Share