คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 51/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2516 เวลากลางคืน ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา อยู่ในอำนาจศาลทหารพิจารณาพิพากษาตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 แม้ต่อมามีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 พ.ศ. 2517 มาตรา 3 ยกเลิกความผิดบางประเภทรวมทั้งความผิดนี้ แต่มาตรา 4 ให้คดีที่เกิดขึ้นหรือหลังวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 เวลา 20.11 นาฬิกา จนถึงวันที่ 20 มีนาคม 2517 ซึ่งเป็นวันประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้คงอยู่ในอำนาจศาลทหารพิจารณาพิพากษา และแม้จะมีประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางจังหวัด ลงวันที่ 18 มีนาคม 2517 ให้ยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกในบางจังหวัดรวมทั้งจังหวัดฉะเชิงเทราด้วย ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2517 เวลา 6.00 นาฬิกา เป็นต้นไปก็ตาม แต่ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 36 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503 มาตรา 4 ก็บัญญัติว่า เมื่อเลิกใช้กฎอัยการศึกศาลทหารยังคงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่ค้างอยู่ในศาลหรือที่ยังมิได้ฟ้องเช่นคดีนี้ได้ ฉะนั้น ศาลพลเรือนจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา ที่ศาลจังหวัดฉะเชิงเทราและศาลอุทธรณ์รับคำฟ้องและดำเนินการพิจารณาพิพากษามา จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายเกี่ยวดับอำนาจศาล คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไม่มีผลบังคับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ เวลากลางคืน จำเลยกับพวก ๑ คน ร่วมกันชิงทรัพย์เครื่องรับวิทยุ ๑ เครื่องของผู้เสียหายในเขตท้องที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙, ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์และนับโทษต่อจากโทษในคดีอื่น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นจำเลยคนเดียวกับจำเลยในคดีที่ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔ จำคุก ๑๐ ปี นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๘๗๓/๒๕๑๗ ของศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ เหตุเกิดเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ เวลากลางคืน ที่ตำบลดอนเกาะกา อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุคดีนี้ ความผิดดังกล่าวอยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษาตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑ และฉบับที่ ๒ ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร และกำหนดให้ความผิดบางประเภทอยู่ในอำนาจศาลทหาร แม้ต่อมาจะได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒ ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๔ พ.ศ. ๒๕๑๗ ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๗ ในมาตรา ๓ ให้ยกเลิกความผิดบางประเภทรวมทั้งความผิดที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ด้วย แต่ก็ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๔ ว่า คดีที่เกิดขึ้นในหรือหลังวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ เวลา ๒๐.๑๑ นาฬิกา จนถึงวันประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ให้คดียังคงอยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษา และแม้จะมีประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกในบางจังหวัดลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๗ ให้ยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกในบางจังหวัดรวมทั้งจังหวัดฉะเชิงเทราด้วย ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๗ เวลา ๖.๐๐ นาฬิกา เป็นต้นไปก็ตาม แต่ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ มาตรา ๓๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๔ ก็ได้บัญญัติว่า เมื่อเลิกใช้กฎอัยการศึก ศาลทหารยังคงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่ค้างอยู่ในศาลหรือที่ยังมิได้ฟ้องเช่นคดีนี้ได้ ฉะนั้น ถึงโจทก์จะยื่นฟ้องต่อศาลพลเรือนภายหลังเวลาที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒ ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๔ พ.ศ. ๒๕๑๗ ประกาศใช้ และมีประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกในท้องที่ที่เกิดเหตุแล้ว ศาลพลเรือนก็หามีอำนาจพิจารณาพิพากษาไม่ การที่ศาลจังหวัดฉะเชิงเทราและศาลอุทธรณ์ได้รับคำฟ้องและดำเนินการพิจารณาพิพากษามาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจศาล คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไม่มีผลบังคับ
พิพากษาให้ยกฎีกาจำเลยและคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองเสีย

Share