คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 292/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีก่อนจำเลยที่ 2 ยื่นฟ้องโจทก์ขอให้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งทำกันไว้คือให้โจทก์ชำระหนี้ค่าไม้เป็นเงิน 58,000 บาท แก่จำเลยพร้อมกับมารับโอนกรรมสิทธิ์ไม้ตามสัญญา ศาลฎีกาพิพากษาในคดีนั้นว่าสัญญาตามเอกสารหมาย จ.3 เป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งโจทก์จำเลยมีสิทธิ (ให้อีกฝ่าย) ปฏิบัติการชำระหนี้แต่จำเลยในฐานะลูกหนี้ไม่ชำระหนี้คือไม่ส่งมอบไม้ทั้งหมดแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ภายในเวลาอันควร จนเป็นเหตุให้ไม้เสื่อมคุณภาพใช้ประโยชน์ไม่ได้การชำระหนี้จึงกลายเป็นไร้ประโยชน์แก่โจทก์ โจทก์ได้แสดงเจตนาบอกปัดไม่รับมอบไม้ทั้งหมดจากจำเลยถือว่าเป็นการได้แสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาต่อจำเลย ซึ่งจำเลยก็ได้ทราบแล้วจำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับโจทก์ให้รับไม้และให้ชำระเงินแก่จำเลยได้ พิพากษายกฟ้องจำเลยโจทก์กลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ว่าจนบัดนี้โจทก์ยังไม่ได้รับไม้จากจำเลยตามสัญญาเพราะ ไม้ผุเน่าไปหมด จำเลยจึงต้องชำระหนี้ตามสัญญาโดยชำระเป็นเงินค่าไม้แทนคิดเป็นเงิน 203,250 บาท ขอให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ ดังนี้เมื่อโจทก์ซึ่งเคยเป็นจำเลยในคดีก่อนได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาต่อจำเลยแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 391 เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้วคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่ เดิมกล่าวคือเมื่อก่อนทำสัญญาอยู่ในฐานะอย่างไรก็ให้คู่สัญญากลับไปอยู่ในฐานะอย่างนั้นประดุจว่าไม่เคยมีนิติกรรมเกิดขึ้นในระหว่างคู่กรณี เนื่องจากโจทก์จำเลยได้เลิกสัญญาก่อนที่จะได้มีการชำระหนี้ต่อกัน ฉะนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่จะต้องคืนต่อกัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ชำระเงินค่าไม้แทนได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เป็นบิดาของจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการค้าไม้ด้วยกัน เดิมโจทก์ออกทุนให้นายประจวบ มงคลสุต ทำไม้ซุงในเขตป่า อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร เมื่อได้ไม้ซุงแล้วจำเลยที่ ๑ ซึ่งรู้ว่าไม้ซุงนั้นเป็นของโจทก์มีเจตนาไม่สุจริต ไปตกลงซื้อไม้ซุงนั้นจากนายประจวบที่อำเภอตะพานหิน ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันโดยจำเลยที่ ๒ ในฐานะส่วนตัวและในฐานะหุ้นส่วนกับจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ โดยจำเลยที่ ๒ รับเป็นผู้นำไม้ซุงที่เหลือจำนวน ๓๔๘ ท่อน ราคา ๒๐๓,๒๕๐ บาท จากจังหวัดพิจิตรมาส่งมอบให้โจทก์ ณ บริเวณเชิงสะพานพระราม ๖ ภายในเวลาอันสมควร โดยโจทก์ตกลงจะจ่ายเงินให้แก่จำเลยเป็นเงิน ๕๘,๐๐๐ บาท แต่จำเลยได้นำไม้ดังกล่าวมาถึงเชิงสะพานพระราม ๖ ภายหลังจากได้ทำสัญญาดังกล่าวเป็นเวลาประมาณเกือบ ๒ เดือน ไม้ซุงทั้งหมดผุเสียหาย เสื่อมราคาจนหมดแล้วจำเลยกลับฟ้องเรียกเงิน ๕๘,๐๐๐ บาทตามสัญญาจากโจทก์ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยไม่ได้นำไม้รายนี้ส่งมอบให้แก่โจทก์ในเวลาอันควรเป็นเหตุให้ไม้เน่าผุ ฯลฯ โจทก์ไม่ต้องรับผิดชำระเงินให้แก่จำเลย ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๑๒๖/๒๕๐๙ ของศาลแพ่ง จนบัดนี้โจทก์ยังไม่ได้รับไม้ซุงจำนวน ๓๔๘ ท่อน ราคา ๒๐๓,๒๕๐ บาทตามสัญญาจากจำเลยเพราะไม้ผุ เน่าไปหมด ไม่มีทางที่จำเลยจะส่งมอบไม้ในสภาพดีให้แก่โจทก์ได้ จำเลยจึงต้องชำระหนี้ตามสัญญาดังกล่าว โดยชำระเป็นเงินค่าไม้แทน คิดเป็นเงิน ๒๐๓,๒๕๐ บาท เมื่อคิดหักเงินส่วนได้ของจำเลย ๕๗,๐๐๐ บาท ออกแล้วจำเลยยังมีหน้าที่ต้องชำระเงินให้โจทก์ ๑๔๕,๒๕๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี แต่คิดเพียง ๕ ปีเป็นดอกเบี้ย ๕๔,๔๖๘.๗๕ บาท จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑๙๙,๗๑๘ บาท ๗๕ สตางค์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธความรับผิดและว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๗๑๒๖/๒๕๐๙ ของศาลแพ่งซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วนั้นเป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๒ ในคดีนี้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยให้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งทำกันไว้คือให้โจทก์ (จำเลยในคดีนั้น) ชำระหนี้ค่าไม้เป็นเงิน ๕๘,๐๐๐ บาทแก่จำเลย (โจทก์ในคดีนั้น)พร้อมกับมารับโอนกรรมสิทธิ์ไม้ตามสัญญา ในคดีนั้นโจทก์ให้การต่อสู้คดีรวมทั้งปฏิเสธว่าไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดชำระเงินแก่จำเลยเพราะจำเลยผิดสัญญาไม่รีบจัด การชักลากไม้ที่ระบุไว้ในสัญญาล่องมากรุงเทพฯ ตามที่ตกลงเป็นเหตุให้ไม้เสื่อมคุณภาพและราคาตก ไม่สมประโยชน์ของโจทก์ ศาลฎีกาพิพากษาคดีนั้นว่าสัญญาตาม เอกสารหมาย จ.๓ เป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งโจทก์จำเลยมีสิทธิ (ให้อีกฝ่าย) ปฏิบัติการชำระหนี้แต่จำเลยในฐานะลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ คือไม่ส่งมอบไม้ทั้งหมดแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ภายในเวลาอันควร จนเป็นเหตุให้ไม้เสื่อมคุณภาพใช้ประโยชน์ไม่ได้ เช่นนี้การชำระหนี้จึงกลายเป็นไร้ประโยชน์แก่โจทก์ โจทก์ได้แสดงเจตนาบอกปัดไม่รับมอบไม้ทั้งหมดจากจำเลย ถือว่าเป็นการได้แสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาต่อจำเลย ซึ่งจำเลยก็ได้ทราบแล้วจำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับโจทก์ให้รับไม้และให้ชำระเงินแก่จำเลยได้ พิพากษายกฟ้องจำเลยศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อโจทก์ซึ่งเคยเป็นจำเลยในคดีนั้นได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามเอกสารศาล หมาย จ.๓ จนกระทั่งศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลย และคดีถึงที่สุดแล้วเช่นนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ บัญญัติว่าเมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม กล่าวคือ เมื่อก่อนทำสัญญาอยู่ในฐานะอย่างไร ก็ให้คู่สัญญากลับไปอยู่ในฐานะอย่างนั้น ประดุจว่าไม่เคยมีนิติกรรมเกิดขึ้นในระหว่างคู่กรณีเนื่องจากโจทก์จำเลยได้เลิกสัญญาก่อนที่จะได้มีการชำระหนี้ต่อกัน ฉะนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่จะต้องคืนต่อกันโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ชำระเงินค่าไม้แทนได้ อนึ่งคดีนี้มิใช่เป็นเรื่องโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาแต่อย่างใด จึงไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share