แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การสลักหลังเช็คซึ่งสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือย่อมเป็นการประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 921, 989 และตามมาตรา 940 วรรคแรกผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกับบุคคลซึ่งตนประกันซึ่งมีความหมายว่าผู้สั่งจ่ายมีความรับผิดต่อผู้ทรงอย่างใดผู้รับอาวัลย่อมต้องมีความรับผิดต่อผู้ทรงเช่นเดียวกันดังนั้นอายุความที่ผู้สลักหลังดังกล่าวจะยกขึ้นต่อสู้ผู้ทรงจึงมีกำหนด 1 ปี นับแต่เช็คถึงกำหนดตามมาตรา 1002 หาใช่ต้องใช้อายุความทั่วไปไม่
จำเลยนำเช็คที่จำเลยลงชื่อสลักหลังมาขายให้ธนาคารโจทก์ โดยจำเลยต้องเสียค่าธรรมเนียมให้แก่ธนาคารโจทก์คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปีนับแต่วันที่จำเลยรับเงินค่าขายเช็คไปจากธนาคารโจทก์จนถึงวันที่เช็คถึงกำหนด และธนาคารโจทก์ได้หักดอกเบี้ยนี้ไว้แล้วดังนี้เป็นค่าตอบแทนที่ธนาคารโจทก์รับซื้อเช็คไว้เท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดในกรณีธนาคารโจทก์ขึ้นเงินตามเช็คไม่ได้เมื่อไม่ปรากฏว่าได้มีข้อตกลงไว้โดยชัดแจ้งธนาคารผู้ทรงย่อมเรียกร้องจากจำเลยได้เพียงร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 7 จะนำประเพณีธนาคารในการคิดดอกเบี้ยมาเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยร้อยละ 14 ต่อปีหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็ค ๓ ฉบับรวมเป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท แล้วขายให้โจทก์โดยมีข้อตกลงว่าโจทก์จ่ายเงินตามเช็คไปก่อน และเมื่อถึงกำหนดเวลาตามเช็คจึงจะส่งเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารผู้จ่ายแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ทวงถามจำเลยผ่อนชำระให้คงค้างอยู่ ๑๒๐,๐๐๐ บาท กับค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปีนับแต่วันที่เช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๓๔,๒๓๒.๗๔ บาท ขอให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวและดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี ในต้นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ จำเลยไม่เคยตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปีแก่โจทก์และไม่รับรองยอดหนี้ที่โจทก์คำนวณมาในฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ ๑๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปีของเช็คแต่ละฉบับนับแต่วันที่เช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดถึงวันฟ้อง แต่ไม่เกิน ๓๔,๒๓๒.๗๔ บาท กับดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวจากต้นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปัญหาเรื่องอายุความฟ้องคดีนี้ตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ดังกล่าวข้างต้นเห็นว่าจำเลยในฐานะผู้สลัก หลังเช็คพิพาททั้งสามฉบับซึ่งเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือย่อมต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง โดยถือว่าการสลักหลัง นั้นเป็นการประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๒๑ ซึ่งมีอายุความฟ้องร้อง ๑ ปีนับแต่วันเช็คถึงกำหนด ตามมาตรา ๑๐๐๒ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้วทั้งนี้เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๙๔๐ วรรคแรกบัญญัติว่าผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคลลซึ่งตนประกันอันมีความหมายถึงว่าผู้สั่งจ่ายมี ความรับผิดต่อผู้ทรงอย่างใด ผู้รับอาวัลย่อมต้องมีความรับผิดต่อผู้ทรงเช่นเดียวกันดังนั้นอายุความที่ผู้สลักหลังจะยกขึ้นต่อสู้ผู้ทรงจึงเป็นเช่นเดียวกับผู้สั่งจ่ายหาใช่ต้องใช้อายุความทั่วไปดังที่โจทก์อ้างในฎีกาไม่ ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปจึงมีว่าที่โจทก์อ้างว่าจำเลยผ่อนชำระหนี้ตามเช็คเป็นการรับสภาพหนี้ซึ่ง การผ่อนชำระครั้งสุดท้ายนับถึงวันฟ้องยังไม่เกิน ๑ ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความนั้นเป็นความจริงหรือไม่
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ตามเอกสาร จ.๖ ถึง จ.๘ จริง คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความส่วนปัญหาต่อไปที่ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปีจากหนี้ตามเช็คที่ยังค้างอยู่ ๑๒๐,๐๐๐ บาทหรือไม่เพียงไรศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์นำสืบนายวิทยา ตุลยายน ว่าการซื้อขายเช็คตามประเพณีธนาคารธนาคารคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี จะคิดดอกเบี้ยน้อยกว่านี้ก็ทำได้แต่ต้องตกลงกันเป็นพิเศษ และมีหลักฐานข้อตกลงไว้โดยชัดแจ้งสำหรับหนี้รายนี้ไม่มีข้อตกลงไว้เป็นพิเศษคงถือตามระเบียบและประเพณีธนาคารในการซื้อขายเช็ค ธนาคารจะต้องคิดดอกเบี้ยแล้วหักออกจากเงินตามเช็คก่อนจ่ายเงินให้ผู้ขายเช็ค เว้นแต่ในกรณีขายเช็คเอาเงินเข้าบัญชีของลูกค้า ธนาคารจะจ่ายเงินเต็มตามเช็คแล้วลูกค้านำดอกเบี้ยมาชำระให้ภายหลังเช็คพิพาททั้งสามฉบับ จำเลยนำมาขายรับเงินสดจากโจทก์ไป ธนาคารโจทก์ได้หักดอกเบี้ยไว้แล้วจำเลยอ้างตัวเองเป็นพยานว่าไม่มีข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยเป็นแต่ให้จำเลยรับผิดใน ฐานผู้สลักหลังเช็คเท่านั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามคำฟ้องโจทก์แสดงว่าการที่จำเลยนำเช็คมาขายให้ธนาคารโจทก์นั้นจำเลยจะต้องเสีย ค่าธรรมเนียมให้แก่ธนาคารโจทก์โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑๔ ต่อปี ซึ่งย่อมต้องหมายความว่าเป็นดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่จำเลยรับเงินค่าขายเช็คไปจากธนาคารโจทก์จนถึงวันที่เช็คถึง กำหนดเป็นค่าตอบแทนที่ธนาคารโจทก์รับซื้อเช็คไว้เท่านั้นการที่ธนาคารโจทก์ขึ้นเงินตามเช็คไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่ธนาคารโจทก์ในฐานผู้ทรงจะเรียกร้องให้ผู้สั่งจ่ายหรือจำเลยในฐานะผู้สลักหลังใช้เงินตามเช็คให้โจทก์ ส่วนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าได้มีข้อตกลงกันไว้โดยแจ้งชัด ธนาคารโจทก์ผู้ทรงย่อมเรียกร้องจากจำเลยได้เพียงร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗ จะนำเอาประเพณีธนาคารในการคิดดอกเบี้ยมาใช้บังคับแก่กรณีนี้หาได้ไม่
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้เงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดจนถึงชำระเสร็จสิ้นให้โจทก์