คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2140/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายแร่ฟลูโอสปาร์ให้โจทก์โดยตกลงส่งแร่ให้เป็นงวด ๆ รวม 12 งวด ถ้าไม่ปฏิบัติตามสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 1 ยอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ จำเลยที่ 1จัดส่งแร่ให้โจทก์รวม 6 งวด แล้วผิดสัญญาไม่ส่งแร่ให้ครบตามสัญญานับแต่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญา ราคาแร่ได้สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจัดซื้อส่งให้แก่โจทก์ได้ และโจทก์มีความจำเป็นต้องมีแร่สำรองไว้ใช้ทำแก้วไม่ให้ขาดมือเพราะจะเกิดความเสียหายขึ้น โจทก์จึงต้องซื้อแร่ในราคาแพงจากผู้อื่น แม้โจทก์จะซื้อแร่จากผู้อื่นต่างวัน ต่างเดือน ต่างจำนวน และต่างราคากัน แต่เมื่อโจทก์ซื้อตามราคาแร่ของท้องตลาด และตามความจำเป็นที่ต้องใช้ กับได้จ่ายเงินค่าซื้อแร่ดังกล่าวไปจริง ดังนี้ จำเลยที่ 1 จึงต้องใช้ค่าเสียหายฐานผิดสัญญาให้โจทก์เท่าราคาที่โจทก์ซื้อแพงขึ้นตามสัญญา จะคำนวณค่าเสียหายโดยถือเกณฑ์เฉลี่ยราคาแร่ที่โจทก์ซื้อจากผู้อื่นหาชอบไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑โดยนายกิจจา กิจกัญจนาสน์ หุ้นส่วนผู้จัดการได้ทำสัญญาขายแร่ฟลูโอสปาร์ซึ่งมีคุณภาพดีให้แก่โจทก์เป็นจำนวน ๓๐๐ ลูกบาศก์เมตร ในราคาลูกบาศก์เมตรละ ๑,๑๐๘ บาท โดยกำหนดแบ่งส่งแร่เป็น ๑๒ งวด งวดละ ๒๕ ลูกบาศก์เมตรต่องวดละเดือน และส่งงวดแรกในเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๒ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ส่งแร่ให้โจทก์ถูกต้องภายในกำหนดสัญญา จำเลยที่ ๑ ยอมให้โจทก์ปรับเป็นเงินร้อยละ ๕ ต่อเดือนของราคาแร่ที่ส่งล่าช้า และถ้าหากจำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ ๑ ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๒ ได้เข้าทำสัญญาประกันจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์เป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๑๖,๖๒๐ บาท เมื่อทำสัญญากันแล้ว จำเลยที่ ๑ ได้ส่งแร่ให้โจทก์มีคุณภาพตามสัญญาจำนวน ๖ งวด เฉพาะงวดที่ ๖ มีแร่เหลือฝากไว้ที่โจทก์อีก ๔.๓๒ ลูกบาศก์เมตร เมื่อจำเลยที่ ๑ นำแร่งวดที่ ๗ มาส่งในเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๓ ซึ่งตามสัญญาจะต้องส่งภายในเดือนมกราคม ๒๕๑๓ เจ้าหน้าที่กรมการตรวจรับของโจทก์เห็นว่า เป็นแร่ที่มีคุณภาพไม่ตรงตามสัญญา จึงไม่ยอมรับแร่ และโจทก์ได้เตือนและเร่งรัดให้จำเลยที่ ๑ นำแร่มาส่งขายให้โจทก์ให้ถูกต้องตามสัญญา คือแร่จำนวน ๑๕๐ ลูกบาศก์เมตร ราคา ๑๖๖,๒๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ เพิกเฉย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ตุลาคม ๒๕๑๔ เป็นต้นไป การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ต้องซื้อแร่ตามจำนวนที่จำเลยที่ ๑ ไม่ส่งให้โจทก์คือ ๑๕๐ลูกบาศก์เมตร แพงขึ้นเป็นเงิน ๑๔๓,๙๘๓,๙๖ บาท และจำเลยที่ ๑ต้องเสียเงินค่าปรับที่ไม่ส่งแร่ให้โจทก์ตามกำหนดสัญญาแต่ละงวดถึงวันเลิกสัญญาเป็นเงินค่าปรับจำนวน ๑๔๗,๓๒๔.๙๒ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๙๑,๓๐๘.๘๘ บาท เมื่อหักค่าแร่ที่จำเลยที่ ๑ ส่งเก็บฝากไว้กับโจทก์ ๔.๓๒ ลูกบาศก์เมตร ลูกบาศก์เมตรละ ๑,๑๐๘ บาท เป็นเงิน ๔,๗๘๖ บาทแล้ว จำเลยที่ ๑ ยังต้องรับผิดชดใช้เงินให้โจทก์ ๒๘๖,๕๒๒.๘๘ บาทขอให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายและค่าปรับเป็นเงิน ๒๘๖,๕๒๒.๘๘แก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ ๒ ชดใช้ให้โจทก์ ๑๖,๖๒๐ บาท ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยที่ ๑ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ได้ส่งแร่ฟลูโอปาร์ที่มีคุณภาพถูกต้องตามสัญญาทุกงวดให้โจทก์ เฉพาะงวดที่ ๗ ถึงงวดที่ ๑๒ กรรมการตรวจรับแร่ของโจทก์ได้ตรวจรับแร่จนเป็นที่พอใจเรียบร้อยแล้ว จึงได้ให้คนของจำเลยที่ ๑ นำแร่ไปลงกองไว้ที่ริมน้ำของโรงงาน ต่อมามีนายวินัย อุ่ยละพันธ์ มาบอกให้จำเลยที่ ๑ ขนแร่กลับไปรวมทั้งแร่ของเก่าด้วย และไม่ยอมให้จำเลยที่ ๑ขนแร่งลงจากรถยนต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่โจทก์บิดพลิ้วไม่ยอมรับแร่ จำเลยที่ ๑ จึงบอกเลิกสัญญากับโจทก์เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๑๓ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ และโจทก์ก็เรียกค่าปรับจากจำเลยไม่ได้
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ ๒ ได้สิ้นสุดลงแล้วและฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญา พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน ๑๓๙,๑๙๗.๙๖ บาท ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน ๑๖,๖๒๐ บาท โดยให้จำเลยทั้งสองใช้ดอกเบี้ยในจำนวนเงินดังกล่าวอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จสิ้นให้โจทก์พร้อมกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์อีก ๓,๐๐๐ บาทตามส่วนเฉลี่ยของค่าเสียหายที่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิดต่อโจทก์
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินแก่โจทก์ ๑๑๙,๐๑๔ บาท (ค่าเสียหาย ๖๙,๐๑๔ บาทและเบี้ยปรับ ๕๐,๐๐๐ บาท) และให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์โดยกำหนดค่าทนายความ ๑,๕๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ ๑ ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ชนะคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ขอให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อแร่ฟลูโอสปาร์ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ส่งแร่ฟลูโอสปาร์ให้โจทก์ไม่ครบตามสัญญา คือขาดไปจำนวน ๑๕๐ ลูกบาศก์เมตร หรือ ๒๕๕ เมตริกตัน จำเลยที่ ๑ ต้องใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องซื้อแร่ดังกล่าวจากผู้อื่นแพงขึ้นให้แก่โจทก์ และคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ คงมีประเด็นที่ขึ้นสู่ศาลฎีกาแต่เพียงเรื่องค่าเสียหายที่จำเลยที่ ๑ต้องใช้ให้แก่โจทก์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า ราคาแร่ฟลูโอสปาร์สูงขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่จำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาจนจำเลยที่ ๑ ไม่สามารถจัดซื้อส่งให้แก่โจทก์ได้และด้วยความจำเป็นของโจทก์ที่ต้องมีแร่สำรองไว้ใช้ทำแก้วไม่ให้ขาดมือ เพราะจะเกิดการเสียหายขึ้น จึงต้องซื้อแร่ฟลูโอสปาร์จากคนอื่นราคาแพงขึ้นตามราคาท้องตลาดซึ่งเป็นค่าเสียหายตามรายละเอียดในบัญชีเอกสารหมาย จ.๙ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้นำสืบหักล้างบัญชีค่าเสียหายดังกล่าวแต่อย่างใด จำเลยที่ ๑จึงต้องใช้ค่าเสียหายฐานจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาที่โจทก์ต้องซื้อแร่ฟลูโอสปาร์แพงขึ้นตามสัญญาข้อ ๙ เป็นเงิน ๑๔๓,๙๘๓.๙๖ บาท เมื่อหักค่าแร่ฟลูโอสปาร์ที่จำเลยที่ ๑ ส่งและฝากไว้ที่โจทก์จำนวน ๔.๓๒ ลูกบาศก์เมตร ราคา ๔,๗๘๖ บาทออกแล้ว คงเหลือค่าเสียหายที่จำเลยที่ ๑ต้องใช้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๑๓๙,๑๙๗.๙๖ บาท ที่ศาลอุทธรณ์คำนวณค่าเสียหายโดยถือเกณฑ์เฉลี่ยราคาแร่ที่โจทก์ซื้อจากผู้อื่น และกำหนดให้จำเลยที่ ๑ เสียค่าเสียหายให้แก่โจทก์ลูกบาศก์เมตรละ ๑,๖๐๐ บาท เป็นเงินเพียง ๖๙,๐๑๔ บาทนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา เพราะโจทก์ต้องซื้อแร่ฟลูโอสปาร์ราคาแพงขึ้นตามราคาแร่ของท้องตลาดและตามความจำเป็นที่ต้องใช้ต่างวันต่างเดือนและต่างราคากัน กับได้จ่ายเงินค่าซื้อแร่ดังกล่าวไปแล้วจริง ซึ่งจะนำมาคิดราคาเฉลี่ยเป็นอัตราเดียวกันหาชอบไม่ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๑๓๙,๑๙๗.๙๖ บาท กับค่าปรับจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความในชั้นฎีกา ๑,๒๐๐ บาทแทนโจทก์ นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
(ชุ่ม สุนทรชัย พิชัย รชตะนันทน์ อุดม ทันด่วย)

Share